อคส. ครบรอบ 70 ปี รับนโยบาย รมว.พาณิชย์ เร่งขับเคลื่อน Food Security ตะวันออกกลาง-ลดภาระค่าครองชีพประชาชน
นนทบุรี – องค์การคลังสินค้า (อคส.) จัดงานวันคล้ายวันสถาปนาครบรอบ 70 ปี อย่างยิ่งใหญ่ พร้อมรับมอบนโยบายสำคัญจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เพื่อขับเคลื่อนภารกิจด้านความมั่นคงทางอาหาร และบรรเทาความเดือดร้อนด้านค่าครองชีพของประชาชน
เมื่อวันที่ 24 เมษายน 2568 ณ องค์การคลังสินค้า ภายในบริเวณกระทรวงพาณิชย์ จังหวัดนนทบุรี นายพิชัย นริพทะพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ได้เดินทางมาเป็นประธานในพิธีเปิดงานและมอบนโยบาย โดยมี พ.ต.อ.อดิศร บุญประทีป ประธานกรรมการ อคส., นายฉัตรชัย ศักดิ์ศิลปชัย รองประธานกรรมการ อคส., และนายธิรินทร์ ณ ถลาง ผู้อำนวยการ อคส. ให้การต้อนรับอย่างอบอุ่น
นายพิชัย นริพทะพันธุ์ กล่าวเน้นย้ำถึงบทบาทสำคัญของ อคส. ในฐานะกลไกหลักของรัฐบาลในการดูแลเสถียรภาพราคาสินค้าเกษตรและสินค้าอุปโภคบริโภค พร้อมมอบนโยบายเร่งด่วน 2 ประการ คือ การขับเคลื่อนนโยบายความมั่นคงทางอาหาร (Food Security) ตามแนวคิดของนายกรัฐมนตรี นางสาวแพทองธาร ชินวัตร โดยมุ่งเน้นการจัดหาและส่งมอบอาหาร รวมถึงสินค้าเกษตรคุณภาพของไทย ให้กับกลุ่มประเทศตะวันออกกลาง ซึ่งถือเป็นตลาดที่มีศักยภาพสูง และเป็นการยกระดับบทบาทของไทยในเวทีโลก
นโยบายที่สองคือ การช่วยเหลือและแบ่งเบาภาระค่าครองชีพให้กับประชาชน ผ่านการจัดจำหน่ายสินค้าอุปโภคบริโภคและสินค้าเกษตรในราคาที่เหมาะสมและเข้าถึงง่าย โดยบูรณาการความร่วมมือกับหน่วยงานต่างๆ
ด้าน พ.ต.อ.อดิศร บุญประทีป ประธานกรรมการ อคส. กล่าวว่า อคส. พร้อมน้อมรับนโยบายจากท่านรัฐมนตรี และจะเร่งดำเนินการตามภารกิจที่ได้รับมอบหมายอย่างเต็มที่ ทั้งในส่วนของ Food Security และการดูแลค่าครองชีพประชาชน พร้อมกันนี้ ยังกล่าวถึงวาระสำคัญในการประชุมคณะกรรมการ อคส. ที่จะมีขึ้นในวันที่ 25 เมษายน 2568 เพื่อพิจารณาคัดสรรผู้บริหารระดับผู้ช่วยผู้อำนวยการจากภายในองค์กร จำนวน 2 ตำแหน่ง เป็นการชั่วคราว รวมถึงการเตรียมการคัดเลือกผู้บริหารระดับรองผู้อำนวยการและผู้ช่วยผู้อำนวยการจากภายนอก เพื่อเติมเต็มตำแหน่งที่ขาดอยู่และเสริมความแข็งแกร่งให้กับการบริหารงานของ อคส.
นายธิรินทร์ ณ ถลาง ผู้อำนวยการ อคส. กล่าวเสริมว่า ตนพร้อมทีมผู้บริหารและพนักงานทุกคนมุ่งมั่นที่จะทำงานตามนโยบายรัฐบาลและกระทรวงพาณิชย์อย่างเต็มกำลัง โดยเมื่อเร็วๆ นี้ (23 เมษายน 2568) อคส. ได้ร่วมลงนามบันทึกความเข้าใจ (MOU) กับการเคหะแห่งชาติ โดยมีวัตถุประสงค์หลักเพื่อลดภาระค่าครองชีพของประชาชนที่อาศัยอยู่ในชุมชนของการเคหะฯ ด้วยการนำสินค้าอุปโภคบริโภคและสินค้าเกษตรคุณภาพมาจำหน่ายในราคาที่เป็นธรรม โดยจะเริ่มดำเนินการในโครงการนำร่องในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑล ก่อนจะขยายผลครอบคลุมทั่วประเทศในระยะต่อไป
สำหรับประวัติความเป็นมาของ อคส. ซึ่งปัจจุบันมีอายุครบ 70 ปี มีรากฐานมาตั้งแต่สมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 ในปี พ.ศ. 2485 เมื่อกระทรวงเศรษฐการได้จัดตั้ง “หอคลังสินค้ากลาง” ขึ้น เพื่อเป็นกลไกในการรักษาเสถียรภาพราคาสินค้าจำเป็น ต่อมาในปี พ.ศ. 2487 ได้เปลี่ยนชื่อเป็น “คลังสินค้ากลาง” และยกฐานะเป็น “กองคลังสินค้า” ซึ่งมีหน้าที่สำคัญในการจัดซื้อและจำหน่ายสินค้าที่จำเป็นจากต่างประเทศ เช่น ผ้า เครื่องมือการเกษตร ยารักษาโรค ในราคาย่อมเยาให้แก่ประชาชนและเกษตรกร
กองคลังสินค้าได้พัฒนาบทบาทมาอย่างต่อเนื่อง และในปี พ.ศ. 2497 กระทรวงพาณิชย์เล็งเห็นความสำคัญของการขยายคลังสินค้าเพื่อสนับสนุนภาคการเกษตร จึงนำไปสู่การจัดตั้ง “องค์การคลังสินค้า” อย่างเป็นทางการตามพระราชกฤษฎีกา เมื่อวันที่ 20 เมษายน พ.ศ. 2498 โดยมีวัตถุประสงค์แรกเริ่มคือการรับซื้อ จัดเก็บ และจำหน่ายข้าวและพืชผลทางการเกษตรเพื่อช่วยเหลือเกษตรกร และเป็นศูนย์กลางทางการค้า
ในปี พ.ศ. 2540 ได้มีการแก้ไขพระราชกฤษฎีกาเพื่อปรับวัตถุประสงค์ของ อคส. ให้ทันสมัยและครอบคลุมมากยิ่งขึ้น โดยกำหนดให้ “ทํากิจการทั้งปวงเกี่ยวกับสินค้าเกษตรและสินค้าอุปโภคบริโภครวมทั้ง ธุรกิจบริการที่เกี่ยวข้อง” เพื่อให้สอดคล้องกับบริบททางเศรษฐกิจและสังคมที่เปลี่ยนแปลงไป
ที่ผ่านมา อคส. มีบทบาทสำคัญและหลากหลายในการสนับสนุนนโยบายรัฐบาล อาทิ โครงการรับจำนำและแทรกแซงตลาดสินค้าเกษตรต่างๆ เพื่อยกระดับรายได้เกษตรกร, การแก้ไขปัญหาขาดแคลนสินค้าบางชนิด เช่น การนำเข้าน้ำมันปาล์มดิบ, การจัดส่งข้าวสารและอาหารให้หน่วยงานราชการเพื่อลดต้นทุน, และบทบาทด้านมนุษยธรรมในการจัดส่งข้าวช่วยเหลือผู้ประสบภัยทั้งในประเทศและต่างประเทศ รวมถึงการจัดทำข้าวสารเฉลิมพระเกียรติในวาระสำคัญต่างๆ สะท้อนให้เห็นถึงการเป็นองค์กรที่มีภารกิจครอบคลุมมิติเศรษฐกิจ สังคม และการต่างประเทศ
การฉลองครบรอบ 70 ปี ในครั้งนี้ จึงไม่ใช่เพียงการรำลึกถึงประวัติศาสตร์ แต่ยังเป็นการยืนยันความพร้อมของ อคส. ที่จะก้าวต่อไปข้างหน้า ภายใต้การนำของรัฐบาลและกระทรวงพาณิชย์ เพื่อเป็นกลไกสำคัญในการสร้างความมั่นคงทางอาหาร และยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนชาวไทย.