ดีเอสไอเปิดโปงขบวนการหมูเถื่อนระดับชาติ พบ 161 ตู้ โยงนายทุนไทย-จีน และข้าราชการกว่า 30 ราย เตรียมส่ง ป.ป.ช.
ดีเอสไอเปิดโปงขบวนการหมูเถื่อนระดับชาติ พบ 161 ตู้ โยงนายทุนไทย-จีน และข้าราชการกว่า 30 ราย เตรียมส่ง ป.ป.ช.
กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) แถลงความคืบหน้าการดำเนินคดีขบวนการลักลอบนำเข้าสินค้าประเภทซากสัตว์ (สุกร) เข้ามาในราชอาณาจักรโดยมิชอบด้วยกฎหมาย พบความเชื่อมโยงนายทุนทั้งชาวไทยและชาวจีน รวมถึงเจ้าหน้าที่รัฐทั้งข้าราชการประจำและฝ่ายการเมืองกว่า 30 ราย เตรียมส่งสำนวนให้คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) พิจารณา
ล่าสุด เมื่อวันที่ 24 เมษายน 2568 ที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ ดีเอสไอ ศูนย์ราชการแจ้งวัฒนะ นายสมบูรณ์ ม่วงกล่ำ ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม พร้อมด้วยคณะผู้บริหารของดีเอสไอ นำโดย พ.ต.ต.ยุทธนา แพรดำ อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ ได้ร่วมกันแถลงข่าวถึงความคืบหน้าในคดีพิเศษที่เกี่ยวข้องกับการลักลอบนำเข้าซากสัตว์ โดยเฉพาะสุกร
นายสมบูรณ์ เปิดเผยว่า คดีนี้สืบเนื่องมาจากสมาคมผู้เลี้ยงสุกรแห่งชาติได้แจ้งความร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวน สภ.แหลมฉบัง และมีผู้ร้องเรียนยื่นเรื่องต่อดีเอสไอ เพื่อดำเนินคดีกับกลุ่มขบวนการ ซึ่งประกอบด้วย เจ้าหน้าที่รัฐ นายทุน และบริษัทชิปปิ้ง ที่ลักลอบนำเข้าสินค้าดังกล่าว
จากการรวบรวมพยานหลักฐานและการเปิดสำรวจ ดีเอสไอพบสินค้าประเภทสุกรแช่แข็งจำนวนมากถึง 161 ตู้คอนเทนเนอร์ ณ ด่านศุลกากรแหลมฉบัง มีมูลค่ารวมภาษีอากรสูงถึง 460,105,947 บาท ซึ่งเข้าข่ายความผิดฐานนำเข้าซึ่งสัตว์หรือซากสัตว์โดยไม่ได้รับอนุญาตจากกรมปศุสัตว์ อันเป็นความผิดตาม พ.ร.บ.ศุลกากร พ.ศ. 2560 และ พ.ร.บ.โรคระบาดสัตว์ พ.ศ. 2558
พ.ต.ต.ณฐพล ดิษยธรรม ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านคดีคุ้มครองผู้บริโภคและสิ่งแวดล้อม กล่าวเสริมว่า ดีเอสไอได้แบ่งการสอบสวนออกเป็น 3 กลุ่มคดีพิเศษ ดังนี้:
- กลุ่มที่ 1: สินค้าอยู่ในตู้คอนเทนเนอร์ ณ ด่านศุลกากรแหลมฉบัง (161 ตู้) มี 10 สำนวนคดี เกี่ยวข้องกับ 10 บริษัทเอกชน และพบว่ามีเจ้าหน้าที่รัฐเข้ามาเกี่ยวข้องในทุกสำนวน
- กลุ่มที่ 2: สินค้านำออกสู่ท้องตลาดแล้ว จากการขยายผลตรวจสอบพบว่ามีกลุ่มนิติบุคคลที่เชื่อมโยงกับกลุ่มแรก ได้นำสินค้าออกไปจำหน่ายในท้องตลาดแล้ว ตรวจสอบข้อมูลในระบบของกรมศุลกากรช่วงปี 2564-2566 พบใบขนสินค้ารวม 2,385 ใบขน มูลค่าสินค้านำเข้าสูงถึง 1,566,760,187 บาท กรณีนี้รับไว้เป็นคดีพิเศษที่ 126/2566 และอยู่ระหว่างการประสานความร่วมมือทางอาญากับ 7 ประเทศ ได้แก่ อิตาลี เยอรมัน เนเธอร์แลนด์ เดนมาร์ก บราซิล ฮ่องกง และสิงคโปร์ เพื่อตรวจสอบการสำแดงสินค้าต้นทาง ซึ่งพบความผิดปกติ เช่น ประเทศอิตาลีและบราซิลยืนยันว่าไม่มีการส่งปลาแซลมอนมายังประเทศไทย แต่กลับมีการสำแดงนำเข้าเป็นปลาแซลมอน
- กลุ่มที่ 3: กลุ่มขบวนการสวมสิทธิถิ่นกำเนิด เป็นการปลอมแปลงเอกสารเพื่อสวมสิทธิถิ่นกำเนิดสินค้าในการส่งออกซากสัตว์ประเภทต่างๆ โดยมีเจ้าหน้าที่รัฐบางส่วนเกี่ยวข้อง ได้รับไว้เป็นคดีพิเศษที่ 127/2566 ซึ่งสอบสวนเสร็จสิ้นแล้ว มีผู้ต้องหา 14 ราย
โดยสรุป ดีเอสไอรับคดีพิเศษที่เกี่ยวข้องกับการลักลอบนำเข้าและส่งออกซากสัตว์ไว้ทั้งหมด 12 คดี สอบสวนเสร็จสิ้นแล้ว 11 คดี และได้ส่งสำนวนให้กับ ป.ป.ช. พิจารณาแล้ว พบผู้เกี่ยวข้องรวมประมาณ 30 ราย ประกอบด้วย กลุ่มนายทุนทั้งชาวไทยและชาวจีน รวมถึงเจ้าหน้าที่ของรัฐ ทั้งข้าราชการประจำ และข้าราชการฝ่ายการเมือง
ดีเอสไอระบุว่า แม้จะระบุชื่อและพฤติการณ์ของข้าราชการบางส่วนได้ชัดเจน แต่ในส่วนของเจ้าหน้าที่ระดับสูงและฝ่ายการเมืองนั้น ยังไม่สามารถเปิดเผยรายละเอียดได้ในขณะนี้ เนื่องจากอยู่ระหว่างการขยายผลของ ป.ป.ช. อย่างไรก็ตาม ยังคงเหลือคดีพิเศษที่ 126/2566 ที่ต้องเร่งประสานงานกับต่างประเทศอีก 7 ประเทศ เพื่อดำเนินคดีกับผู้เกี่ยวข้องต่อไป
คดีนี้สะท้อนให้เห็นถึงความซับซ้อนของอาชญากรรมข้ามชาติที่ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจและความมั่นคงทางอาหารของประเทศ รวมถึงปัญหาการทุจริตที่เชื่อมโยงกับเจ้าหน้าที่รัฐ ซึ่งดีเอสไอจะเดินหน้าสอบสวนอย่างเต็มที่เพื่อให้ขบวนการดังกล่าวถูกดำเนินคดีตามกฎหมาย