ปมฉาวผู้บริหาร ม.ดัง! นักธุรกิจสาวแจ้งความถูกยักยอกเงินลงทุนกว่า 5 ล้านบาท หลังชวนเปิดบริษัทกฎหมาย

กรุงเทพฯ – เมื่อเวลา 14.00 น. วันที่ 24 เมษายน 2568 ที่สถานีตำรวจนครบาลหลักสอง นักธุรกิจสาววัย 51 ปี นามสมมติ น.ส.เอ พร้อมด้วยนายเกรียงไกร อินทจันทร์ หรือทนายตั้ม ได้เดินทางเข้าพบพนักงานสอบสวน เพื่อแจ้งความดำเนินคดีกับผู้บริหารมหาวิทยาลัยชื่อดังแห่งหนึ่ง ในข้อหายักยอกทรัพย์ หลังถูกชักชวนให้ร่วมลงทุนเปิดบริษัทที่ปรึกษาทางกฎหมาย แต่กลับพบว่ามีการยักย้ายถ่ายเทเงินออกจากบัญชีบริษัทเข้าสู่บัญชีส่วนตัว ทำให้ได้รับความเสียหายเบื้องต้นกว่า 5 ล้านบาท

น.ส.เอ ผู้เสียหาย กล่าวเปิดเผยเรื่องราวว่า ตนได้รู้จักกับผู้บริหารของมหาวิทยาลัยดังกล่าวตั้งแต่ช่วงปี 2563 ต่อมาในช่วงเดือนตุลาคม 2565 ผู้บริหารรายดังกล่าวได้ชักชวนให้ตนร่วมลงทุนจัดตั้งบริษัทที่ปรึกษาทางกฎหมาย โดยให้เหตุผลว่าจะสามารถนำลูกความซึ่งเป็นลูกค้าของมหาวิทยาลัยมาให้บริษัทที่จัดตั้งขึ้นใหม่รับทำคดีได้ ด้วยความเชื่อใจ ตนจึงตัดสินใจนำเงินส่วนตัวกว่า 2 ล้านบาทเข้าร่วมลงทุน และได้มอบอำนาจให้ผู้บริหารคนดังกล่าวมีตำแหน่งเป็นกรรมการของบริษัท พร้อมอำนาจในการเบิกจ่ายเงินตามความเหมาะสม

อย่างไรก็ตาม ในช่วงเดือนกรกฎาคม 2566 ตนได้สังเกตพบความผิดปกติของบัญชีรายรับ-รายจ่ายของบริษัท มีการเบิกจ่ายเงินออกจากบัญชีของบริษัทโดยผู้บริหารรายดังกล่าว และมีการยักย้ายถ่ายเทเงินจำนวนหลายแสนบาทไปยังบัญชีส่วนตัวของผู้บริหารคนดังกล่าว เมื่อตนสอบถามถึงรายละเอียด ผู้บริหารคนดังกล่าวอ้างว่าเป็นค่าใช้จ่ายต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับการทำคดีและค่าทนายความ ตนจึงได้ทวงถามถึงเงินปันผลและรายได้ที่ควรจะได้รับจากบริษัท จนกระทั่งเกิดมีปากเสียงกัน หลังจากนั้นไม่นาน ผู้บริหารคนดังกล่าวก็ได้ถอนชื่อตัวเองออกจากตำแหน่งกรรมการบริษัท ทำให้ตนต้องเข้ามาเป็นกรรมการบริษัทแห่งนี้แทน

น.ส.เอ กล่าวต่อไปว่า หลังจากที่ตนเข้ามาดูแลบริษัทเต็มตัว จึงได้เริ่มดำเนินการฟ้องร้องดำเนินคดีกันในเรื่องอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง เช่น คดีทำร้ายร่างกาย และคดีทำให้เสียทรัพย์ ซึ่งคดีเหล่านี้ยังอยู่ระหว่างการพิจารณาในชั้นศาล โดยความเสียหายที่เกิดขึ้นกับตนในเบื้องต้นจากพฤติกรรมของผู้บริหารรายนี้อยู่ที่ประมาณ 5 ล้านบาท ยังไม่รวมถึงเงินลงทุนตั้งต้นกว่า 2 ล้านบาทที่ได้ลงไปกับการจัดตั้งบริษัท

เนื่องจากคู่กรณีมีตำแหน่งหน้าที่เป็นผู้บริหารในสถาบันการศึกษาที่มีชื่อเสียง และมีความรู้ความเข้าใจในด้านกฎหมายเป็นอย่างดี ทำให้ตนเกิดความกังวลว่าจะไม่ได้รับความเป็นธรรมในการต่อสู้คดี จึงได้นำเรื่องทั้งหมดเข้าขอคำปรึกษาและขอความช่วยเหลือจากนายเกรียงไกร อินทจันทร์ หรือทนายตั้ม เพื่อเป็นผู้ดูแลเรื่องคดีนี้อีกคดีหนึ่ง

ด้าน นายเกรียงไกร อินทจันทร์ หรือทนายตั้ม กล่าวถึงเรื่องนี้ว่า ตามที่ผู้เสียหายได้ให้ข้อมูลและกล่าวอ้างมา พฤติการณ์ดังกล่าวอาจเข้าข่ายความผิดทางอาญาในข้อหายักยอกทรัพย์ หรือฉ้อโกง อย่างไรก็ตาม รายละเอียดทั้งหมดของเรื่องยังไม่ชัดเจนสมบูรณ์ ยังคงอยู่ในกระบวนการสอบสวนของเจ้าหน้าที่ตำรวจ ซึ่งจะต้องพิจารณาว่าพยานหลักฐานเข้าข่ายเป็นคดีอาญาหรือไม่

ทนายตั้มเล่ารายละเอียดคร่าวๆ ว่า เรื่องนี้มีจุดเริ่มต้นจากการที่ผู้บริหารมหาวิทยาลัยชื่อดังได้มาชักชวนผู้เสียหายให้ร่วมลงทุนเปิดบริษัทกฎหมาย แต่หลังจากที่บริษัทเปิดดำเนินการแล้ว กลับพบว่าทางผู้ถูกกล่าวหาได้นำลูกค้าของบริษัทไปเป็นลูกความของตนเอง และมีการโอนเงินที่ควรจะเป็นรายได้ของบริษัทเข้าบัญชีส่วนตัวของผู้ถูกกล่าวหา ซึ่งทำให้ผู้เสียหายรู้สึกว่าเป็นการฉ้อโกงและถูกเอาเปรียบอย่างมาก ผู้เสียหายจึงได้เข้ามาขอความช่วยเหลือจากตน ตนมองว่าจากพฤติการณ์ที่เล่ามา อาจเข้าข่ายความผิดยักยอกทรัพย์ หรือลักทรัพย์

อย่างไรก็ตาม ทนายตั้มย้ำว่า ขณะนี้ตนยังไม่เห็นเอกสารหลักฐานทั้งหมดที่เกี่ยวข้อง แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น การจะยืนยันว่าเป็นความผิดทางอาญาหรือไม่ จะต้องเป็นหน้าที่ของพนักงานสอบสวนที่จะต้องดำเนินการสอบสวนข้อเท็จจริงทั้งหมดอย่างละเอียดก่อนที่จะพิจารณาแจ้งข้อกล่าวหาต่อไป

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *