นายกฯ ‘แพทองธาร’ เข้าเฝ้าฯ ‘กษัตริย์นโรดม สีหมุนี’ ที่กัมพูชา ย้ำความสำคัญสัมพันธ์ประชาชน
พนมเปญ, กัมพูชา – เมื่อเวลา 11.00 น. ของวันที่ 24 เมษายน 2568 ณ พระที่นั่งเทวาวินิจฉัย ภายในพระราชวังแห่งราชอาณาจักรกัมพูชา น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรีแห่งประเทศไทย พร้อมด้วยคู่สมรส ได้เข้าเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาทพระบาทสมเด็จพระบรมนาถนโรดม สีหมุนี พระมหากษัตริย์แห่งราชอาณาจักรกัมพูชา ในโอกาสที่นายกรัฐมนตรีเดินทางเยือนกัมพูชาอย่างเป็นทางการ เพื่อกระชับความสัมพันธ์และส่งเสริมความร่วมมือทวิภาคีระหว่างสองประเทศเพื่อนบ้าน
การเข้าเฝ้าฯ ครั้งนี้เป็นส่วนหนึ่งของกำหนดการเยือนกัมพูชาอย่างเป็นทางการของนายกรัฐมนตรี เพื่อหารือและแลกเปลี่ยนข้อคิดเห็นกับผู้นำระดับสูงของกัมพูชา ซึ่งสะท้อนถึงความมุ่งมั่นของรัฐบาลไทยในการเสริมสร้างความสัมพันธ์อันดีกับกัมพูชาในทุกมิติ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในระดับสูงสุดระหว่างสถาบันพระมหากษัตริย์และผู้นำรัฐบาล
ในการหารือ นายกรัฐมนตรีได้กราบบังคมทูลยืนยันถึงความสำคัญที่รัฐบาลไทยให้ต่อความสัมพันธ์และความร่วมมือระหว่างราชอาณาจักรไทยและราชอาณาจักรกัมพูชา โดยเน้นย้ำว่าความสัมพันธ์ระดับประชาชนถือเป็นรากฐานที่แข็งแกร่งของมิตรภาพอันยาวนานระหว่างทั้งสองประเทศ ซึ่งมีการแลกเปลี่ยนทางวัฒนธรรม สังคม และเศรษฐกิจอย่างใกล้ชิด
นายกรัฐมนตรีได้กล่าวถึงนโยบายของรัฐบาลไทยที่ให้ความสำคัญกับการส่งเสริมปฏิสัมพันธ์ระหว่างประชาชนของทั้งสองประเทศให้มีความใกล้ชิดแน่นแฟ้นมากยิ่งขึ้น ผ่านกลไกความร่วมมือต่างๆ และโครงการพัฒนาในกัมพูชาในหลากหลายด้าน เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตและความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นของประชาชนชาวกัมพูชา ซึ่งจะนำไปสู่ประโยชน์ร่วมกันของทั้งสองฝ่าย
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง นายกรัฐมนตรีได้เน้นย้ำถึงบทบาทสำคัญของโครงการความร่วมมือตามพระราชดำริสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ซึ่งดำเนินมาอย่างต่อเนื่องและประสบความสำเร็จในหลายด้าน ถือเป็นสัญลักษณ์แห่งความร่วมมือและความผูกพันอันลึกซึ้งระหว่างไทยกับกัมพูชา และเป็นสะพานเชื่อมความสัมพันธ์ระดับประชาชนให้มีความแน่นแฟ้นและยั่งยืนมากยิ่งขึ้น
การเข้าเฝ้าฯ พระมหากษัตริย์กัมพูชาในครั้งนี้ ถือเป็นการตอกย้ำถึงความสัมพันธ์อันแนบแน่นระหว่างสองประเทศในระดับสถาบันพระมหากษัตริย์ และแสดงเจตนารมณ์ทางการเมืองของรัฐบาลไทยในการส่งเสริมความร่วมมือในทุกระดับ โดยมีเป้าหมายสูงสุดเพื่อประโยชน์ร่วมกันและการอยู่ร่วมกันอย่างสันติสุขและเจริญรุ่งเรืองของประชาชนทั้งสองประเทศ