ประธาน กมธ.เศรษฐกิจ จี้รัฐบาล ‘เอาจริง’ สอบทุนจีนนอมินี ‘ทุกบริษัท-ทุกอาคาร’ ปัญหาเกินกว่าแค่ตึก สตง.
รัฐสภา, ประเทศไทย – นายสิทธิพล วิบูลย์ธนากุล สส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน ในฐานะประธานคณะกรรมาธิการ (กมธ.) การพัฒนาเศรษฐกิจ สภาผู้แทนราษฎร ได้ออกมาเรียกร้องให้รัฐบาลและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เร่งดำเนินการตรวจสอบกรณีการถือหุ้นโดยนอมินีจีนในบริษัทต่างๆ อย่างจริงจังและครอบคลุม ไม่จำกัดเพียงกรณีอาคารสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) ที่ถล่มลงมา
การเรียกร้องดังกล่าวเกิดขึ้นเมื่อวันที่ 24 เมษายน 2568 หลังจากการประชุมคณะกรรมาธิการฯ ซึ่งได้เชิญหน่วยงานที่เกี่ยวข้องมาชี้แจงข้อมูลเกี่ยวกับบริษัทก่อสร้างที่เกี่ยวข้องกับอาคาร สตง. อาทิ กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ), กรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์, สำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (สมอ.), สถาบันเหล็ก และสภาวิศวกรรมสถานแห่งประเทศไทยฯ
นายสิทธิพล เปิดเผยว่า จากการชี้แจงของหน่วยงาน ดีเอสไอได้ยืนยันว่ามีความเชื่อได้ว่ากรณีบริษัทก่อสร้างอาคาร สตง. มีการถือหุ้นโดยนอมินีจริง และเมื่อมีการสวมสิทธิ์นอมินีตั้งแต่การจดจัดตั้งบริษัท ก็เชื่อได้ว่ามีการกระทำผิดกฎหมายอื่นๆ ร่วมด้วย เช่น การสวมสิทธิ์วิศวกรโครงการ ซึ่งเป็นเรื่องที่น่ากังวลอย่างยิ่ง
ประธาน กมธ.พัฒนาเศรษฐกิจ กล่าวเน้นย้ำว่า ไม่ต้องการให้กรณีอาคาร สตง. เป็นเพียงตึกเดียวที่ถูกตรวจสอบ แต่ควรขยายผลไปสู่การตรวจสอบบริษัทอื่นๆ และอาคารอื่นๆ ที่มีลักษณะเข้าข่ายการใช้นอมินีจีนในการดำเนินธุรกิจ โดยเฉพาะในภาคการรับเหมาก่อสร้าง ซึ่งคาดว่ายังมีอีกหลายบริษัทที่เข้าข่ายนี้
นายสิทธิพล ยังได้เปิดเผยข้อมูลสถิติที่น่าตกใจว่า จำนวนบริษัทไทยที่จดจัดตั้งโดยอาจเข้าข่ายใช้นอมินีจีนนั้นเพิ่มมากขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ โดยในปีที่ผ่านมามีประมาณ 300 บริษัท ขณะที่ในรอบ 5 ปีที่ผ่านมา มีประมาณ 500-600 บริษัท ซึ่งถือว่าเป็นการเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว โดยส่วนใหญ่มักใช้เงื่อนไขการถือหุ้นโดยคนไทย 51% ตามกฎหมาย
ปัญหาการใช้นอมินีจีนไม่ได้จำกัดอยู่เพียงแค่ภาคธุรกิจรับเหมาก่อสร้างเท่านั้น แต่นายสิทธิพลระบุว่ายังลุกลามไปถึงภาคการเกษตร และภาคการศึกษา เช่น การขายวุฒิวิศวกร หรือการใช้วีซ่านักเรียนเพื่อวัตถุประสงค์อื่นนอกเหนือจากการเรียน ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความซับซ้อนและขอบเขตของปัญหาที่กว้างขวาง
นายสิทธิพล เชื่อมั่นว่า หากรัฐบาลและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น ดีเอสไอ และกระทรวงอุตสาหกรรม มีความเอาจริงเอาจังในการตรวจสอบ ก็จะสามารถตรวจพบความผิดปกติและแก้ไขปัญหาได้ทันที แม้ที่ผ่านมากรมพัฒนาธุรกิจการค้าอาจยังไม่เห็นความผิดปกติ เนื่องจากเป็นการจดจัดตั้งบริษัทที่เข้าข่ายตามกฎหมายเรื่องสัดส่วนผู้ถือหุ้น
สำหรับความครอบคลุมของกฎหมายปัจจุบัน นายสิทธิพล มองว่ากฎหมายเรื่องสัดส่วนผู้ถือหุ้นคนไทย 51% นั้นมีความครอบคลุมเพียงพอแล้ว แต่ปัญหาสำคัญอยู่ที่การขาดการประสานงานระหว่างหน่วยงาน เช่น กรมพัฒนาธุรกิจการค้ามีอำนาจจดจัดตั้งบริษัท แต่ไม่มีอำนาจสืบสวนเส้นทางการเงิน ซึ่งเป็นอำนาจของดีเอสไอ แต่ดีเอสไอจะต้องมีการก่ออาชญากรรมเกิดขึ้นก่อน จึงเสนอว่า แม้ยังไม่เกิดความผิดอาชญากรรมชัดเจน ภาครัฐก็ควรมีกลไกในการเข้าไปตรวจสอบบริษัทที่เข้าข่ายน่าสงสัยได้
ประธาน กมธ.พัฒนาเศรษฐกิจ จึงเรียกร้องให้รัฐบาลตระหนักถึงความสำคัญของปัญหานี้ และใช้มาตรการที่เด็ดขาดและบูรณาการจากทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อปกป้องผลประโยชน์ของชาติและป้องกันการกระทำผิดกฎหมายที่อาจส่งผลกระทบต่อระบบเศรษฐกิจและสังคมในวงกว้าง