สศก. เผย จีดีพีภาคเกษตร ไตรมาส 1 ปี 68 โต 3% ลุ้นหนัก! ภาษีทรัมป์อาจฉุดขีดแข่งขัน

สศก. คาด จีดีพีภาคเกษตร ไตรมาส 1 ปี 68 โต 3% ลุ้นหนัก! ภาษีทรัมป์อาจฉุดขีดแข่งขัน

สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร (สศก.) เผยภาวะเศรษฐกิจการเกษตรไตรมาสแรกปี 2568 ขยายตัวดีถึง 3% รับอานิสงส์ปรากฏการณ์ลานีญา คาดทั้งปี 2568 ขยายตัว 1.8-2.8% แต่ยอมรับความไม่แน่นอนจากปัจจัยภายนอก โดยเฉพาะประเด็นภาษีนำเข้าของสหรัฐอเมริกาภายใต้การบริหารงานของอดีตประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ที่อาจส่งผลกระทบต่อการส่งออกและขีดความสามารถในการแข่งขันของสินค้าเกษตรไทย

นายฉันทานนท์ วรรณเขจร เลขาธิการสำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร (สศก.) เปิดเผยถึงภาวะเศรษฐกิจการเกษตร หรือ จีดีพีภาคเกษตร ในช่วงไตรมาส 1 ปี 2568 (มกราคม-มีนาคม) ว่า มีการขยายตัวประมาณ 3% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ปัจจัยหลักมาจากการที่ประเทศไทยได้รับอิทธิพลจากปรากฏการณ์ลานีญา ซึ่งส่งผลให้มีปริมาณฝนตกชุกและกระจายตัวดีขึ้นกว่าปีที่ผ่านมา ทำให้น้ำในอ่างเก็บน้ำและแหล่งน้ำตามธรรมชาติมีเพียงพอและเอื้ออำนวยต่อการเพาะปลูกพืชต่างๆ

จากการขยายตัวที่ดีในไตรมาสแรก ทำให้ สศก. คาดการณ์ว่าภาพรวม จีดีพีภาคเกษตร ทั้งปี 2568 จะสามารถขยายตัวได้ในกรอบ 1.8-2.8% จากปีก่อน (ปี 2567) ที่มีการขยายตัวติดลบที่ประมาณ -1% อย่างไรก็ตาม การคาดการณ์ดังกล่าวยังเป็นข้อมูลก่อนที่นายโดนัลด์ ทรัมป์ ซึ่งมีแนวโน้มอาจได้รับเลือกตั้งเป็นประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาอีกครั้ง จะประกาศนโยบายที่เกี่ยวข้องกับการขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจากต่างประเทศ

นายฉันทานนท์ ยอมรับว่า หากสหรัฐอเมริกาประกาศขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจากไทย ในอัตราร้อยละ 10% ในภาพรวมแล้วอาจจะไม่ส่งผลกระทบต่อ จีดีพีภาคเกษตร ของไทยมากนัก เนื่องจากสินค้าเกษตรของไทยจำนวนมากยังคงมีความสามารถในการแข่งขันในตลาดสหรัฐฯ ได้ดี ยกตัวอย่างเช่น ข้าว ซึ่งมีคู่แข่งสำคัญอย่างเวียดนาม แต่ข้าวไทยก็ยังสามารถยืนอยู่ในตลาดที่แตกต่างจากข้าวเวียดนามได้ เพราะคุณภาพข้าวของไทยที่เหนือกว่า ทำให้กลุ่มผู้บริโภคมีความต้องการที่แตกต่างกัน

ทว่า หากผลสรุปออกมาว่า สหรัฐอเมริกาประกาศขึ้นภาษีนำเข้าจากไทยในอัตราที่สูงถึง 36% สถานการณ์จะเปลี่ยนแปลงไปทันที อัตราภาษีที่สูงขนาดนี้จะมีผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อการส่งออกและขีดความสามารถในการแข่งขันของสินค้าเกษตรไทยในตลาดสหรัฐฯ ซึ่งในที่สุดแล้วอาจจะส่งผลสะท้อนมายังราคาที่เกษตรกรได้รับหน้าฟาร์ม และกระทบต่อเนื่องถึงภาพรวมของ จีดีพีภาคเกษตร ได้

“ขณะนี้ยังคงเป็นช่วงเวลาแห่งความไม่แน่นอนสำหรับประเด็นภาษีนำเข้าของสหรัฐอเมริกา จึงยังเร็วเกินไปที่จะสรุปหรือคาดเดาผลกระทบที่ชัดเจน” นายฉันทานนท์ กล่าวเสริม

เลขาธิการ สศก. ยังกล่าวอีกว่า ต้องยอมรับว่าประเทศไทยยังมีความต้องการสินค้าเกษตรจำนวนมากสำหรับการนำเข้าจากสหรัฐอเมริกา เช่น ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ถั่วเหลือง และธัญพืชอื่นๆ ซึ่งความต้องการนำเข้าเหล่านี้ก็อาจเป็นปัจจัยหนึ่งที่ช่วยลดผลกระทบจากการขึ้นภาษีลงได้บ้าง ทั้งนี้ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ได้มีการจัดทำท่าทีและข้อเสนอแนะที่ชัดเจนให้กับทีมเจรจาประเด็นภาษีกับฝ่ายสหรัฐฯ ซึ่งมีนายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เป็นหัวหน้าคณะ โดยท่าทีที่เสนอนั้นได้ยึดผลประโยชน์ของเกษตรกรไทยเป็นสำคัญที่สุด

นอกจากประเด็นภาษี สศก. ยังมองว่าเศรษฐกิจโลกโดยรวมมีทิศทางชะลอตัวลง มาตรการกีดกันทางการค้าจากหลายประเทศที่เข้มงวดมากขึ้น รวมถึงสงครามการค้าระหว่างสหรัฐอเมริกาและจีน ล้วนเป็นปัจจัยเสี่ยงที่อาจส่งผลกระทบต่อห่วงโซ่อุปทานโลกและการค้าระหว่างประเทศ ซึ่งรวมถึงการส่งออกสินค้าเกษตรและผลิตภัณฑ์ของไทยด้วย

เพื่อเตรียมพร้อมรับมือกับความท้าทายต่างๆ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ได้วางแนวทางการขับเคลื่อนและพัฒนาภาคเกษตรทั้งในระยะเร่งด่วนและระยะต่อเนื่อง ในระยะเร่งด่วน อาทิ การเตรียมพร้อมรับมือต่อความแปรปรวนของสภาพอากาศและภัยพิบัติทางธรรมชาติ การรับมือและเฝ้าระวังสถานการณ์โรคระบาดในพืชและสัตว์ เช่น โรคใบร่วงยางพารา การแก้ปัญหาการขาดแคลนปัจจัยการผลิต เช่น ท่อนพันธุ์มันสำปะหลัง การเร่งลดต้นทุนการผลิตให้เกษตรกร การปราบปรามการลักลอบนำเข้าสินค้าเกษตรผิดกฎหมาย และการเตรียมความพร้อมเพื่อรองรับการเปลี่ยนแปลงของสถานการณ์โลกที่รวดเร็ว

ส่วนในระยะต่อเนื่อง กระทรวงเกษตรฯ มีแผนงาน เช่น การจัดสรรที่ดินทำกินให้เกษตรกร การพัฒนาระบบการประกันภัยภาคการเกษตรให้ครอบคลุมและมีประสิทธิภาพ การส่งเสริมการผลิต การแปรรูป และการตลาดที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม เน้นการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก การบริหารจัดการน้ำอย่างมีประสิทธิภาพและยั่งยืน การส่งเสริมให้เกษตรกรและสถาบันเกษตรกรสามารถยกระดับตนเองเป็นผู้ให้บริการทางการเกษตรแบบครบวงจร การยกระดับคุณภาพและความปลอดภัยของสินค้าเกษตรเพื่อเพิ่มมูลค่า การส่งเสริมการรวมกลุ่มและเชื่อมโยงเครือข่ายการผลิตและการตลาด รวมถึงการผลักดัน Soft Power จากภาคเกษตรไทยไปสู่สากล เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันในระยะยาว

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *