เงินลงทุนต่างชาติ Q1/68 ทะลุ 4.7 หมื่นล้านบาท พุ่ง 31% ญี่ปุ่นครองแชมป์
กรมพัฒนาธุรกิจการค้าเผยตัวเลขการลงทุนของคนต่างชาติในประเทศไทยช่วงไตรมาสแรกของปี 2568 (มกราคม-มีนาคม) พบว่ามีเม็ดเงินลงทุนไหลเข้าสูงถึง 47,033 ล้านบาท เพิ่มขึ้นถึง 31% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยมีนักลงทุนเข้ามาขออนุญาตประกอบธุรกิจรวม 272 ราย เพิ่มขึ้นถึง 53% ซึ่งประเทศญี่ปุ่นยังคงเป็นอันดับหนึ่ง ขณะที่การลงทุนในพื้นที่ EEC ก็มีสัดส่วนที่สูงและเติบโตอย่างต่อเนื่อง
นางอรมน ทรัพย์ทวีธรรม อธิบดีกรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยถึงสถานการณ์การลงทุนของคนต่างชาติในประเทศไทยภายใต้พระราชบัญญัติการประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว พ.ศ. 2542 ในช่วงไตรมาสแรกของปี 2568 (มกราคม-มีนาคม) ว่า มีจำนวนนักลงทุนต่างชาติที่ได้รับอนุญาตให้เข้ามาประกอบธุรกิจในประเทศไทยรวมทั้งสิ้น 272 ราย
เมื่อเปรียบเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปี 2567 จำนวนนักลงทุนต่างชาติที่ได้รับอนุญาตฯ เพิ่มขึ้นถึง 94 ราย หรือคิดเป็นอัตราเพิ่มขึ้น 53% ขณะที่มูลค่าเงินลงทุนรวมในไตรมาสแรกปี 2568 อยู่ที่ 47,033 ล้านบาท ซึ่งเพิ่มขึ้นจากปีก่อนถึง 11,131 ล้านบาท คิดเป็นอัตราเพิ่มขึ้น 31%
สำหรับ 5 อันดับแรกของประเทศที่เข้ามาลงทุนในประเทศไทยมากที่สุดในช่วงไตรมาสแรกปี 2568 ได้แก่:
- ญี่ปุ่น: 57 ราย คิดเป็น 21% ของจำนวนนักลงทุนทั้งหมด
- สหรัฐอเมริกา: 35 ราย คิดเป็น 13%
- จีน: 34 ราย คิดเป็น 12%
- สิงคโปร์: 31 ราย คิดเป็น 11%
- ฮ่องกง: 22 ราย คิดเป็น 8%
อธิบดีกรมพัฒนาธุรกิจการค้ายังกล่าวเพิ่มเติมถึงการลงทุนในพื้นที่เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) ในไตรมาสแรกปี 2568 ว่า มีนักลงทุนต่างชาติให้ความสนใจเข้ามาลงทุนในพื้นที่ EEC จำนวน 88 ราย ซึ่งคิดเป็น 32% ของนักลงทุนต่างชาติทั้งหมดในประเทศไทย ตัวเลขนี้เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปี 2567 ถึง 32 ราย หรือคิดเป็นอัตราเพิ่มขึ้น 57% แสดงให้เห็นถึงความเชื่อมั่นในศักยภาพของพื้นที่ EEC
ด้านมูลค่าการลงทุนในพื้นที่ EEC อยู่ที่ 24,234 ล้านบาท ซึ่งคิดเป็น 52% ของมูลค่าเงินลงทุนต่างชาติทั้งหมดในประเทศไทย ประเทศที่ลงทุนสูงสุดใน EEC ได้แก่ ญี่ปุ่น (27 ราย มูลค่า 9,295 ล้านบาท) จีน (22 ราย มูลค่า 3,685 ล้านบาท) และสิงคโปร์ (9 ราย มูลค่า 2,194 ล้านบาท) นอกจากนี้ยังมีนักลงทุนจากประเทศอื่นๆ อีก 30 ราย ที่ลงทุนรวม 9,060 ล้านบาทในพื้นที่ EEC
ประเภทธุรกิจที่นักลงทุนต่างชาติสนใจเข้ามาลงทุนในไตรมาสแรกปี 2568 มีความหลากหลาย เช่น ธุรกิจค้าปลีกสินค้าแม่พิมพ์ (Mould) ที่ใช้สำหรับผลิตชิ้นส่วนพลาสติก, อุปกรณ์และชิ้นส่วนสำหรับซ่อมแซมเครื่องทำความเย็น, ชิ้นส่วนสำหรับซ่อมแซมเครื่องจักรที่ใช้ในกระบวนการผลิตยางรถยนต์ รวมถึงธุรกิจบริการเคลือบผิวผลิตภัณฑ์โลหะ, ธุรกิจบริการให้ใช้แพลตฟอร์มและแอปพลิเคชันต่างๆ และธุรกิจบริการรับจ้างผลิตสินค้าอุตสาหกรรม เช่น เครื่องใช้ไฟฟ้า, โลหะและชิ้นส่วนโลหะขึ้นรูป, ที่นั่งนิรภัยในรถยนต์สำหรับเด็กเล็กและสัตว์เลี้ยง และแก้วเก็บความร้อน เป็นต้น
ตัวเลขการลงทุนที่เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญนี้ สะท้อนให้เห็นถึงความเชื่อมั่นของนักลงทุนต่างชาติต่อศักยภาพและโอกาสทางเศรษฐกิจของประเทศไทย