พาณิชย์ หารือทูตสวีเดน ‘พิชัย’ ชวนลงทุนยานยนต์ไฟฟ้า-พลังงานสะอาด ชี้โอกาสไทยในยุคภูมิรัฐศาสตร์โลก
กรุงเทพฯ – นายพิชัย นริพทะพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยถึงผลการหารือทวิภาคีกับนางอันนา ฮัมมาร์เกรน เอกอัครราชทูตสวีเดนประจำประเทศไทย เมื่อวันที่ 23 เมษายน 2568 โดยระบุว่า ได้มีการแลกเปลี่ยนมุมมองเกี่ยวกับพัฒนาการทางเศรษฐกิจของไทย การขยายตัวของการส่งออกที่ดีอย่างต่อเนื่อง รวมถึงการลงทุนในสาขาแห่งอนาคตที่เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ อาทิ อุตสาหกรรมแผ่นวงจรพิมพ์ (PCB) และการลงทุนจัดตั้ง Data Center ขนาดใหญ่จากบริษัทเทคโนโลยีระดับโลกอย่าง Google, Microsoft และล่าสุดคือ TikTok ซึ่งประกาศแผนลงทุนในไทยเพื่อจัดตั้ง Data Hosting มูลค่าสูงถึง 8.8 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์กล่าวว่า ได้ใช้โอกาสนี้เชิญชวนให้นักธุรกิจจากประเทศสวีเดน ซึ่งเป็นหนึ่งในผู้นำด้านนวัตกรรมและเทคโนโลยีของโลก ให้พิจารณาขยายการลงทุนเพิ่มในประเทศไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสาขาที่สวีเดนมีศักยภาพและความเชี่ยวชาญสูง ซึ่งสอดคล้องกับทิศทางการพัฒนาเศรษฐกิจของไทยในอนาคต ได้แก่ อุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้า (EV) พลังงานสะอาด และการผลิตผลิตภัณฑ์ที่ส่งเสริมความยั่งยืน ทั้งนี้ ยังได้เชิญชวนให้ภาคเอกชนสวีเดนเข้าร่วมงานแสดงสินค้าและกิจกรรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศที่กระทรวงพาณิชย์จัดขึ้นในปี 2568 เพื่อสร้างโอกาสทางธุรกิจ เช่น งาน THAIFEX-ANUGA ASIA (27-31 พฤษภาคม 2568), Bangkok RHVAC & Bangkok E&E (2-5 กันยายน 2568) และ Bangkok Gems and Jewelry Fair (9-13 กันยายน 2568) เป็นต้น
นอกจากประเด็นการลงทุน ทั้งสองฝ่ายยังได้แลกเปลี่ยนความเห็นเกี่ยวกับความคืบหน้าของการเจรจาความตกลงการค้าเสรี (FTA) ระหว่างไทยกับสหภาพยุโรป (EU) ซึ่งขณะนี้มีความคืบหน้าไปในทิศทางที่น่าพอใจ โดยฝ่ายสวีเดนในฐานะประเทศสมาชิกสหภาพยุโรป ได้ยืนยันความพร้อมที่จะให้การสนับสนุนการเจรจาอย่างเต็มที่ เพื่อให้สามารถสรุปผลการเจรจาให้ได้โดยเร็วที่สุด ความสำเร็จของ FTA ไทย-EU คาดว่าจะช่วยเพิ่มพูนโอกาสทางการค้าและการลงทุนระหว่างไทยและสวีเดนได้อย่างมหาศาล ท่ามกลางสถานการณ์ภูมิรัฐศาสตร์และการค้าโลกที่มีความท้าทายในปัจจุบัน
นายพิชัยยังกล่าวถึงแผนความร่วมมือในอนาคตว่า ในช่วงปลายเดือนพฤษภาคม 2568 คณะผู้บริหารระดับสูงจาก National Board of Trade ของสวีเดน มีกำหนดเดินทางเยือนประเทศไทย ในโอกาสนี้ สถานเอกอัครราชทูตสวีเดนประจำประเทศไทย จะร่วมกับกระทรวงพาณิชย์ จัดงานสัมมนาขึ้นในวันที่ 26 พฤษภาคม 2568 เพื่อเป็นเวทีในการแลกเปลี่ยนความรู้และประสบการณ์เกี่ยวกับกฎระเบียบใหม่ๆ ของสหภาพยุโรป ประเด็นด้านความยั่งยืน และการเปลี่ยนผ่านสู่เศรษฐกิจดิจิทัล รวมถึงการหารือถึงแนวทางความร่วมมือทางวิชาการระหว่างกัน รัฐมนตรีพาณิชย์เชื่อมั่นว่า การจัดสัมมนาในครั้งนี้และความร่วมมือที่จะมีขึ้นอย่างต่อเนื่องจะเป็นประโยชน์อย่างยิ่งต่อประเทศไทย เนื่องจากสวีเดนถือเป็นประเทศผู้นำด้านนวัตกรรม เทคโนโลยี และมีนโยบายที่ก้าวหน้าอย่างมากในเรื่องความยั่งยืน
สำหรับตัวเลขการค้าระหว่างไทยและสวีเดนนั้น สวีเดนถือเป็นคู่ค้าอันดับที่ 42 ของไทย ในปี 2567 ที่ผ่านมา มูลค่าการค้ารวมอยู่ที่ 1,247.44 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือประมาณ 4.16 หมื่นล้านบาท ลดลง 6.75% จากปีก่อนหน้า โดยไทยส่งออกไปสวีเดนมูลค่า 507.71 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ (ประมาณ 1.7 หมื่นล้านบาท) ลดลง 3.78% ในขณะที่ไทยนำเข้าจากสวีเดนมูลค่า 739.73 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ (ประมาณ 2.47 หมื่นล้านบาท) ลดลง 8.68% ส่งผลให้ไทยเสียเปรียบดุลการค้ากับสวีเดนมูลค่า 232.02 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือประมาณ 7,737 ล้านบาท
สินค้าส่งออกสำคัญของไทยไปสวีเดน ได้แก่ เครื่องสำอาง สบู่ และผลิตภัณฑ์รักษาผิว ผลิตภัณฑ์ยาง ผลิตภัณฑ์ข้าวสาลีและอาหารสำเร็จรูปอื่นๆ รถยนต์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ และเครื่องปรับอากาศและส่วนประกอบ ในขณะที่สินค้านำเข้าสำคัญจากสวีเดน ได้แก่ เครื่องจักรกลและส่วนประกอบ กระดาษและผลิตภัณฑ์กระดาษ เครื่องบิน เครื่องร่อน อุปกรณ์การบินและส่วนประกอบ ผลิตภัณฑ์เวชกรรมและเภสัชกรรม และเยื่อกระดาษและเศษกระดาษ
นอกจากนี้ สวีเดนยังเป็นนักลงทุนที่สำคัญในประเทศไทย โดยมีบริษัทสวีเดนเข้ามาลงทุนและดำเนินธุรกิจในไทยกว่า 100 บริษัท ตัวอย่างบริษัทที่มีชื่อเสียงได้แก่ Volvo (ยานยนต์และส่วนประกอบ), Autoliv (เข็มขัดนิรภัย ถุงลมนิรภัย), Electrolux (เครื่องใช้ไฟฟ้าภายในบ้าน), IKEA (เครื่องเรือนและเฟอร์นิเจอร์), Ericsson (ระบบเครือข่ายสัญญาณโทรศัพท์), Purac (เคมีอินทรีย์), Tetra Pak (บรรจุภัณฑ์) และ Scandinavian Village (โครงการพำนักระยะยาวสำหรับผู้สูงอายุและวัยเกษียณ) ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความเชื่อมั่นของนักลงทุนสวีเดนในศักยภาพของเศรษฐกิจไทย