ภูมิธรรม เยี่ยมชม นวัตกรรม UAV ฝีมือคนไทย ‘ลดฝุ่น-ทำฝน-ดับเพลิง’ ยกระดับอุตสาหกรรมป้องกันประเทศ
ปทุมธานี – นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เยี่ยมชมการสาธิตนวัตกรรมอากาศยานไร้คนขับ (UAV) หรือโดรน ฝีมือคนไทย เพื่อภารกิจด้านการบรรเทาสาธารณภัย ทั้งการลดฝุ่นละออง การทำฝนเทียม และการดับเพลิง ตอกย้ำศักยภาพอุตสาหกรรมป้องกันประเทศของไทย
เมื่อวันที่ 23 เมษายน 2568 ณ สนามบินแสงตะวัน จังหวัดปทุมธานี นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ได้เข้าเยี่ยมชมและรับฟังบรรยายสรุปขีดความสามารถของ บริษัท แอร์โร เทคโนโลยี อินดัสทรี จำกัด (Aero Technology Industry Co.,Ltd. หรือ ATIL) ซึ่งเป็นหนึ่งในบริษัทร่วมทุนของ สถาบันเทคโนโลยีป้องกันประเทศ (DTI)
ในการนี้ ได้มีการสาธิตการทำงานของนวัตกรรมสำคัญ ประกอบด้วย:
- กระเปาะโปรยน้ำแข็งแห้ง (Dry Ice Dispenser): นวัตกรรมนี้ถูกคิดค้นโดยฝีมือคนไทย เพื่อใช้ในการลดฝุ่นละอองในชั้นบรรยากาศ โดยจะบรรจุติดตั้งบนอากาศยานไร้คนขับแบบ DP18A เพื่อบินขึ้นไปโปรยน้ำแข็งแห้งในระดับความสูงที่เหมาะสม ซึ่งจะช่วยเปิดช่องระบายและลดความหนาแน่นของฝุ่นขนาดเล็กในอากาศได้
- กระเปาะทำฝนเทียม: บรรจุสารดูดความชื้นที่มีประสิทธิภาพสูง ใช้ติดตั้งบน UAV แบบ DP18A เช่นกัน เพื่อบินปฏิบัติการในชั้นบรรยากาศที่เหมาะสมสำหรับการทำฝนเทียม ช่วยบรรเทาภาวะขาดแคลนน้ำ
- การใช้ UAV ดับเพลิง: ในกรณีที่เกิดเหตุเพลิงไหม้ในพื้นที่ที่เข้าถึงได้ยาก หรือมีความเสี่ยงสูงต่อเจ้าหน้าที่ภาคพื้นดิน UAV สามารถบรรทุกลูกระเบิดที่บรรจุสารเคมีดับเพลิงเข้าไปในพื้นที่เป้าหมายได้อย่างแม่นยำ โดยในการสาธิตครั้งนี้ ใช้ UAV แบบ DP9A เพื่อบินทิ้งลูกระเบิดดับเพลิง
อากาศยานไร้คนขับแบบ DP18A ซึ่งเป็นอากาศยานลำแรกที่ ATIL สามารถผลิตได้เองภายในประเทศ มีคุณสมบัติเด่นคือ สามารถบินได้สูง ไกล และนาน บรรทุกน้ำหนักได้มาก มีระยะวงเลี้ยวแคบ ควบคุมการบินอัตโนมัติได้แม่นยำสูง จึงเหมาะกับการปฏิบัติภารกิจในชั้นบรรยากาศสูง หรือในสภาพอากาศที่อาจเป็นอันตรายต่อนักบิน อีกทั้งยังมีความยืดหยุ่นในการใช้งาน ทั้งภารกิจบรรเทาสาธารณภัยพลเรือน และศักยภาพในการติดอาวุธเพื่อภารกิจด้านความมั่นคง
การเยี่ยมชมสาธิตในครั้งนี้ แสดงให้เห็นถึงความก้าวหน้าและขีดความสามารถของภาคเอกชนไทย ที่ได้รับการส่งเสริมภายใต้พระราชบัญญัติเทคโนโลยีป้องกันประเทศ พ.ศ. 2562 ซึ่งมีบทบาทสำคัญในการพัฒนานวัตกรรมที่ตอบสนองความต้องการของทั้งหน่วยงานภาครัฐด้านความมั่นคงและภาคพลเรือน
นวัตกรรมเหล่านี้ไม่เพียงแต่ช่วยแก้ปัญหาสำคัญของประเทศ เช่น ปัญหาฝุ่น PM2.5 ภัยแล้ง และการบรรเทาสาธารณภัย แต่ยังสอดคล้องกับนโยบายส่งเสริมอุตสาหกรรมป้องกันประเทศ (S-Curve 11) ของรัฐบาล ในการผลักดันให้ไทยเปลี่ยนสถานะจากผู้ซื้อมาเป็นผู้ผลิตและผู้ขายในอุตสาหกรรมนี้ เพื่อเป้าหมายการพึ่งพาตนเองได้อย่างครบวงจร และยกระดับเศรษฐกิจด้านอุตสาหกรรมป้องกันประเทศของไทยให้เติบโตอย่างยั่งยืน.