ครม. มีมติเห็นชอบหลักการแก้ไข พ.ร.บ. การประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว พ.ศ. 2542 หวังลดอุปสรรคการลงทุน-ดึงเทคโนโลยี พร้อมรับมือการตรวจสอบ ‘นอมินี’
กรุงเทพฯ — ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อวันที่ 22 เมษายน 2568 ที่ผ่านมา ได้มีมติเห็นชอบในหลักการร่างพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติการประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว พ.ศ. 2542 ตามที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาเสนอ โดยมีเป้าหมายสำคัญเพื่อลดอุปสรรคด้านการลงทุน ส่งเสริมการพัฒนาเศรษฐกิจ และเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ สอดคล้องกับข้อเสนอของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.)
การแก้ไขกฎหมายครั้งนี้ ผ่านการพิจารณาและให้ความเห็นชอบจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องหลายแห่ง ทั้งกระทรวงการคลัง กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงมหาดไทย กระทรวงแรงงาน สศช. และสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) ซึ่งทุกหน่วยงานต่างเห็นด้วยหรือไม่มีข้อขัดข้อง
คณะกรรมการปฏิรูปกฎหมายพบว่า กฎหมายปัจจุบันซึ่งใช้มาเกือบ 25 ปี เน้นการคุ้มครองผู้ประกอบการไทยมากเกินไป จนไม่สอดคล้องกับสภาพเศรษฐกิจและเทคโนโลยีที่เปลี่ยนแปลงไป การปรับปรุงแก้ไขจึงมุ่งเน้นการสร้างความแข็งแกร่งให้ผู้ประกอบการไทยไปพร้อมกับการส่งเสริมการเติบโตทางเศรษฐกิจ ลดข้อจำกัดทางราชการ และอำนวยความสะดวกให้ธุรกิจต่างชาติเข้ามาลงทุนในประเทศไทยได้มากขึ้น
รัฐบาลให้เหตุผลเพิ่มเติมว่า การคุ้มครองที่มากเกินไปเป็นอุปสรรคต่อการเติบโตของอุตสาหกรรมแห่งอนาคต โดยเฉพาะกลุ่มธุรกิจนวัตกรรมและเทคโนโลยี ซึ่งมีศักยภาพสูงในการสร้างรายได้ประชาชาติ (GDP) สร้างงาน และจัดเก็บภาษี
กรณีที่เห็นได้ชัดคือธุรกิจสตาร์ทอัพ ซึ่งมักเน้นนวัตกรรมเทคโนโลยีขั้นสูงและระดมทุนจากทั้งนักลงทุนไทยและต่างชาติ เมื่อการระดมทุนเพิ่มขึ้น สัดส่วนการถือหุ้นของนักลงทุนต่างชาติอาจสูงขึ้น ทำให้สตาร์ทอัพมีความเสี่ยงที่จะถูกจัดว่าเป็นธุรกิจต่างด้าวภายใต้กฎหมายปัจจุบัน ซึ่งนำไปสู่ข้อจำกัดทางกฎหมายในการดำเนินธุรกิจ กฎหมายปัจจุบันกำหนดเพดานการถือหุ้นของต่างชาติและประเภทธุรกิจที่คนต่างด้าวถูกจำกัดไว้ ซึ่งเป็นอุปสรรคต่อการขยายตัวของสตาร์ทอัพและพัฒนาการทางเศรษฐกิจโดยรวมของประเทศ
กระทรวงการคลังเน้นย้ำว่า การปรับปรุงแก้ไขใดๆ ควรพิจารณาถึงลักษณะของธุรกิจ อัตราส่วนการลงทุน และระดับความพร้อมของแต่ละภาคส่วน เพื่อให้สอดคล้องกับกฎหมายและข้อบังคับอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง โดยเฉพาะที่เกี่ยวกับการดำเนินงานของคนต่างด้าว
ในอีกด้านหนึ่ง ควบคู่กับการผ่อนปรนกฎหมายเพื่อดึงดูดการลงทุน ทางการไทยยังคงเดินหน้าตรวจสอบโครงสร้างที่เข้าข่ายเป็น “นอมินี” อย่างเข้มข้น ดังเช่นกรณีอาคารสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) ที่ถล่มลงมาหลังเหตุแผ่นดินไหว ซึ่งมีการสอบสวนโครงสร้างการถือครองกรรมสิทธิ์และดำเนินงาน
ล่าสุด มีการจับกุมชาวจีนที่เกี่ยวข้องกับบริษัท China Railway ซึ่งถูกตั้งคำถามเกี่ยวกับสถานะทางกฎหมายของวิศวกรที่ควบคุมงานก่อสร้างในประเทศไทยโดยใช้วีซ่านักศึกษา
นายสมชาย มรกตศรีวรรณ อธิบดีกรมการจัดหางาน กระทรวงแรงงาน กล่าวว่า การกระทำดังกล่าว หากพิสูจน์ได้ว่าเป็นจริง จะถือเป็นการฝ่าฝืนกฎหมายแรงงานของไทย ไม่ใช่กฎหมายคนเข้าเมือง เนื่องจากนักศึกษาต่างชาติมีวีซ่าที่ถูกต้อง แต่เป็นการฝ่าฝืนกฎหมายเกี่ยวกับการทำงานของคนต่างด้าว
“ปัจจุบันยังมีกรณีแบบนี้เกิดขึ้นในประเทศไทย” นายสมชายกล่าว “กรมการจัดหางานมีทีมเจ้าหน้าที่ออกตรวจสอบและดำเนินการตามการแจ้งเบาะแสของประชาชนเรื่องแรงงานต่างด้าวผิดกฎหมายอย่างต่อเนื่อง เราจะดำเนินการทางกฎหมายกับผู้ที่ทำงานโดยผิดกฎหมายทุกคน”
ขณะเดียวกัน นางสาวศุภมาส อิศรภักดี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) ได้มอบหมายให้นางสาวสุชาดา สังข์ทองทรัพย์ เลขานุการรัฐมนตรี อว. เข้าหารือกับเจ้าหน้าที่สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง (สตม.) เมื่อวันที่ 23 เมษายน ที่ผ่านมา เพื่อหารือถึงข้อกังวลเกี่ยวกับการที่นักศึกษาต่างชาติบางรายใช้ช่องทางวีซ่านักศึกษาในการเดินทางเข้ามาในประเทศไทยเพื่อทำงานที่ผิดกฎหมาย
การหารือครั้งนี้ได้ข้อสรุปร่วมกันในการบูรณาการข้อมูลระหว่าง อว. และ สตม. เพื่อติดตามสถานะและพฤติกรรมของนักศึกษาต่างชาติอย่างเป็นระบบ หากพบสถานศึกษาใดมีส่วนรู้เห็นหรือละเลยในการปล่อยให้มีการใช้สถานะนักศึกษาในทางที่ผิด จะมีการดำเนินการทางกฎหมายอย่างเข้มงวดตามกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้อง เพื่อป้องกันไม่ให้ประเทศไทยถูกใช้เป็นช่องทางในการเข้ามาทำงานที่ผิดกฎหมาย
กระทรวง อว. จะเร่งดำเนินการจัดทำฐานข้อมูลกลางของนักศึกษาต่างชาติในประเทศไทย เพื่อให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องสามารถตรวจสอบได้อย่างรวดเร็ว และเตรียมทบทวนนโยบายและมาตรการการรับนักศึกษาต่างชาติให้มีความเข้มงวดมากขึ้นในอนาคต