SCB ชี้บาทแข็งค่าเร็วจากดอลลาร์อ่อน จับตา ‘สหรัฐฯ กลับมาขึ้นภาษี-เศรษฐกิจไทยชะลอ’ กดดัน กนง. ลดดอกเบี้ย เร็วสุดปลาย เม.ย.

กรุงเทพฯ – ธนาคารไทยพาณิชย์ (SCB) โดยนายวชิรวัฒน์ บานชื่น นักกลยุทธ์ตลาดการเงินอาวุโส สายงานตลาดการเงิน (SCB Financial Markets: SCB FM) เปิดเผยว่า ทิศทางค่าเงินบาทไทยในช่วงที่ผ่านมามีความผันผวนสูง สะท้อนจากปัจจัยทั้งภายในและภายนอกประเทศ

นายวชิรวัฒน์ระบุว่า ในช่วงแรกที่ประธานาธิบดีทรัมป์ประกาศขึ้นภาษีตอบโต้ สินค้าจากประเทศคู่ค้าบางส่วน เงินบาทต่อดอลลาร์สหรัฐได้อ่อนค่าลงไปใกล้ระดับ 35 บาทต่อดอลลาร์ อย่างไรก็ตาม หลังจากการประกาศเลื่อนการขึ้นภาษีตอบโต้ออกไป 90 วัน เงินบาทกลับแข็งค่าขึ้นอย่างรวดเร็วมาใกล้ระดับ 33 บาท

การแข็งค่าของเงินบาทอย่างรวดเร็วนี้ ส่วนใหญ่เป็นผลมาจากปัจจัยต่างประเทศเป็นหลัก โดยเฉพาะการอ่อนค่าลงอย่างต่อเนื่องของดัชนีเงินดอลลาร์สหรัฐ เนื่องจากตลาดมองว่าสหรัฐฯ จะได้รับผลกระทบจากมาตรการภาษีนำเข้า (Tariffs) มากกว่าประเทศเศรษฐกิจหลักอื่นๆ ทั้งในด้านการบริโภคและการจ้างงานที่อาจแย่ลง ทำให้ความเชื่อมั่นต่อสินทรัพย์สกุลเงินดอลลาร์สหรัฐลดลง นอกจากนี้ ความกังวลล่าสุดเรื่องการปลดนายเจอโรม พาวเวลล์ ออกจากตำแหน่งประธานธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ยิ่งเร่งให้เกิดการเทขายสินทรัพย์สหรัฐฯ มากขึ้น ซึ่งส่งผลให้ดัชนีตลาดหุ้นสหรัฐฯ ลดลง อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ ปรับสูงขึ้น และดัชนีค่าเงินดอลลาร์อ่อนค่าลงต่อเนื่อง

นายวชิรวัฒน์มองว่า ในระยะสั้น เงินบาทอาจกลับไปอ่อนค่าได้ โดยคาดการณ์กรอบการเคลื่อนไหวอยู่ที่ราว 33.50-34.50 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ ปัจจัยสนับสนุนการอ่อนค่ามีดังนี้

  • สหรัฐฯ อาจกลับมาขึ้นภาษีบางส่วน: หลังผ่านช่วงเวลา 90 วัน มีโอกาสที่สหรัฐฯ จะกลับมาใช้มาตรการภาษีนำเข้าบางส่วน ซึ่งอาจทำให้ค่าเงินในภูมิภาคเอเชีย รวมถึงเงินบาทอ่อนค่าลง และดัชนีเงินดอลลาร์อาจกลับมาแข็งค่าขึ้นบ้าง
  • ธนาคารกลางในเอเชียอาจปล่อยให้ค่าเงินอ่อน: คาดว่าธนาคารกลางส่วนใหญ่ในเอเชียจะยอมให้ค่าเงินของตนเองอ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐ เพื่อช่วยบรรเทาผลกระทบจากมาตรการภาษี โดยเห็นได้จากการที่ทางการจีนตั้งใจปล่อยให้เงินหยวน (CNY) อ่อนค่าลงอย่างรวดเร็วหลังวันประกาศ Reciprocal tariffs
  • เศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มชะลอตัว: ตัวเลขเศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มแย่ลงจากผลกระทบของมาตรการภาษี ทำให้ดุลการค้าไทยอาจปรับแย่ลง และความไม่แน่นอนที่เพิ่มขึ้นส่งผลกระทบต่อการลงทุนและการผลิต ทำให้คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) มีแนวโน้มที่จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลง โดยอาจเกิดขึ้นได้เร็วที่สุดตั้งแต่ช่วงไตรมาสที่ 2 ของปีนี้ หรืออาจเป็นปลายเดือนเมษายนเลย

สำหรับในระยะยาว มองไปถึงสิ้นปีนี้ นายวชิรวัฒน์ประเมินว่าเงินบาทอาจกลับมาแข็งค่าได้ โดยคาดการณ์กรอบการเคลื่อนไหวอยู่ที่ราว 32.50-33.50 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ ปัจจัยหลักมาจากการที่ดัชนีเงินดอลลาร์มีแนวโน้มอ่อนค่าลงต่อเนื่อง จากความเชื่อมั่นต่อสินทรัพย์สหรัฐฯ ที่ลดลงในระยะยาว ในกรณีที่เศรษฐกิจสหรัฐฯ อ่อนแอลงแต่ยังไม่เข้าสู่ภาวะถดถอย (Recession) ขณะที่อัตราเงินเฟ้อกลับมาเร่งตัวไม่มาก (ราว 3-4%) อาจทำให้ธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ลดดอกเบี้ยได้ 3 ครั้งในปีนี้ เริ่มตั้งแต่กลางปี ซึ่ง SCB FM มองว่าจะทำให้ดัชนีเงินดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่าเมื่อเทียบกับสกุลเงินอื่นรวมถึงเงินบาท และเงินทุนมีแนวโน้มไหลออกจากสหรัฐฯ อย่างต่อเนื่อง โดยบางส่วนอาจไหลเข้าตลาดหุ้นกลุ่มประเทศยุโรป และตลาดพันธบัตร (บอนด์) ของกลุ่มประเทศเกิดใหม่ในเอเชีย (EM Asia)

นอกจากนี้ สกุลเงินหลักอื่นๆ ก็มีแนวโน้มแข็งค่าเมื่อเทียบกับดอลลาร์ เช่น เงินยูโร ซึ่งมีแนวโน้มแข็งค่าจากการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐ และเงินเยน ที่คาดว่าจะแข็งค่าต่อเนื่องตามการขึ้นดอกเบี้ยของธนาคารกลางญี่ปุ่น และการโยกย้ายเงินทุนกลับเข้าตลาดบอนด์ในประเทศของภาคเอกชนญี่ปุ่น

ปัจจัยสุดท้ายที่ช่วยพยุงให้เงินบาทแข็งค่าคือ ราคาทองคำที่ปรับสูงขึ้นต่อเนื่องจากความต้องการถือสินทรัพย์ปลอดภัย โดยล่าสุดราคาทองคำทำสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ราว 3,500 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ซึ่ง SCB FM มองว่ายังมีโอกาสปรับสูงขึ้นต่อจากความตึงเครียดทางการค้าที่บั่นทอนความเชื่อมั่นในดอลลาร์ การไหลเข้าของเงินทุนสู่กองทุน ETF ทองคำ และการซื้อทองคำอย่างต่อเนื่องโดยธนาคารกลางหลายประเทศ ซึ่งราคาทองที่สูงขึ้นนี้จะยิ่งสนับสนุนการแข็งค่าของเงินบาท

อย่างไรก็ตาม ยังมีปัจจัยเสี่ยงที่อาจทำให้เงินบาทเคลื่อนไหวแตกต่างจากที่ประเมินไว้ได้ เช่น สถานการณ์สงครามการค้าที่อาจรุนแรงขึ้น หรือการปลดนายเจอโรม พาวเวลล์ หากไทยยังไม่สามารถทำข้อตกลงการค้ากับสหรัฐฯ เพื่อลดภาษีลงได้ภายในเดือนกรกฎาคมนี้ ประกอบกับแนวโน้มปัจจัยในประเทศที่อาจอ่อนแอในช่วงครึ่งปีหลัง อาจกดดันให้เงินบาทอ่อนค่ากว่าที่คาดไปถึงกรอบ 35-36 บาทต่อดอลลาร์ได้ ในทางกลับกัน หากมีการปลดนายเจอโรม พาวเวลล์ จริง อาจทำให้อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ สูงขึ้นอย่างรวดเร็ว (Bond yields spike) และดัชนีเงินดอลลาร์อ่อนค่าลงต่อ ซึ่งอาจกดดันให้เงินบาทแข็งค่าลงไปใกล้ระดับ 32.30 บาทต่อดอลลาร์ได้เช่นกัน

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *