หมอเจด เตือน เมนูฮิต ‘กาแฟส้ม’ ดื่มทุกเช้า เสี่ยง ‘ไขมันพอกตับ’ ไม่รู้ตัว แนะปรับสูตร-ดื่มพอดี
หมอเจด เตือน เมนูฮิต ‘กาแฟส้ม’ ดื่มทุกเช้า เสี่ยง ‘ไขมันพอกตับ’ ไม่รู้ตัว แนะปรับสูตร-ดื่มพอดี
นพ.เจษฎ์ บุณยวงศ์วิโรจน์ รองผู้อำนวยการโรงพยาบาลมหาราชนครราชสีมา หรือที่รู้จักในนาม “หมอเจด” ได้โพสต์ข้อความผ่านเพจเฟซบุ๊กส่วนตัวชื่อ หมอเจด เพื่อเตือนผู้บริโภคเกี่ยวกับเมนูเครื่องดื่มยอดนิยมอย่าง “กาแฟส้ม” ที่หลายคนมักดื่มเป็นประจำทุกเช้า โดยชี้ว่าเครื่องดื่มแก้วโปรดนี้อาจมีความเสี่ยงต่อภาวะ “ไขมันพอกตับ” ได้หากดื่มโดยไม่ระวัง
ทำไมกาแฟส้มถึงเสี่ยงต่อไขมันพอกตับ?
หมอเจดอธิบายว่า แม้กาแฟส้มจะให้ความรู้สึกสดชื่นและดูเหมือนมีประโยชน์เพราะมีส่วนผสมของน้ำส้ม แต่ในความเป็นจริง เครื่องดื่มชนิดนี้มักมีปริมาณน้ำตาลสูงกว่าที่คิดมาก ปัญหาไม่ได้อยู่ที่กาแฟหรือน้ำส้มเพียงอย่างเดียว แต่อยู่ที่การเติมส่วนผสมอื่นๆ โดยเฉพาะ “น้ำเชื่อม” หรือ “ไซรัป” เพื่อเพิ่มรสหวาน ซึ่งบางครั้งร้านค้าอาจใช้น้ำส้มสำเร็จรูปที่มีน้ำตาลผสมอยู่แล้ว
น้ำตาลเหล่านี้ โดยเฉพาะ “ฟรุกโตส” ซึ่งพบได้มากในน้ำเชื่อม น้ำผลไม้ หรือไซรัป จะถูกส่งตรงไปยังตับ และหากร่างกายไม่ได้ใช้พลังงานส่วนนี้ มันจะถูกเปลี่ยนเป็นไขมันและสะสมอยู่ในตับ นอกจากนี้ สารให้ความหวานแทนน้ำตาลบางชนิด แม้จะไม่มีแคลอรี่ แต่ก็อาจกระตุ้นการอักเสบในระดับเซลล์ ซึ่งส่งผลต่อการทำงานของตับได้ในระยะยาว
นพ.เจษฎ์ ยกตัวอย่างว่า กาแฟส้มหนึ่งแก้วที่เติมทั้งน้ำส้ม น้ำเชื่อม และส่วนผสมหวานอื่นๆ อาจมีปริมาณน้ำตาลรวมสูงถึง 20-30 กรัม ซึ่งหากดื่มทุกวัน ปริมาณน้ำตาลส่วนเกินนี้จะค่อยๆ เปลี่ยนเป็นไขมันและสะสมในตับโดยไม่รู้ตัว
ไขมันพอกตับ ภัยเงียบที่มากับความหวาน
ภาวะไขมันพอกตับ (Non-Alcoholic Fatty Liver Disease: NAFLD) เป็นภาวะที่มักไม่มีอาการชัดเจนในช่วงแรก ทำให้ผู้ป่วยส่วนใหญ่ไม่รู้ตัวจนกระทั่งภาวะเริ่มรุนแรงขึ้น หากปล่อยทิ้งไว้โดยไม่ได้รับการดูแล อาจนำไปสู่ภาวะตับอักเสบ (Steatohepatitis) ตับแข็ง (Cirrhosis) หรือเพิ่มความเสี่ยงในการเป็นมะเร็งตับได้ในที่สุด สาเหตุหลักของภาวะนี้มักมาจากการบริโภคอาหารและเครื่องดื่มที่มีน้ำตาลสูงเป็นประจำ
น้ำส้มดีจริงหรือ?
หมอเจดยอมรับว่าน้ำส้มสดมีประโยชน์จากวิตามินซีและสารต้านอนุมูลอิสระ แต่ปัญหาคือ แม้จะเป็นน้ำส้มคั้นสด ก็ยังมีปริมาณน้ำตาลฟรุกโตสสูงอยู่ดี น้ำส้ม 1 แก้ว (ประมาณ 250 มิลลิลิตร) อาจมีน้ำตาลถึง 20-25 กรัม ซึ่งเมื่อนำมาผสมกับกาแฟและเติมน้ำเชื่อมเข้าไปอีก ก็ยิ่งเพิ่มปริมาณน้ำตาลและแคลอรี่ ทำให้เสี่ยงต่อการสะสมไขมันในตับได้มากขึ้น
กาแฟมีประโยชน์ แต่ต้องดื่มให้ถูกวิธี
สำหรับกาแฟเปล่าๆ นั้นมีประโยชน์ต่อสุขภาพ มีสารต้านอนุมูลอิสระ เช่น คลอโรเจนิก แอซิด (Chlorogenic Acid) ที่ช่วยลดความเสี่ยงโรคหัวใจ และอาจช่วยป้องกันไขมันพอกตับในบางกรณี แต่เมื่อนำมาทำเป็นกาแฟส้มที่มีการเติมส่วนผสมอื่นๆ ที่มีน้ำตาลสูง ประโยชน์จากกาแฟเพียงอย่างเดียวก็ไม่เพียงพอที่จะชดเชยความเสี่ยงจากน้ำตาลส่วนเกินได้
ดื่มกาแฟส้มอย่างไรให้ไม่เสี่ยงสุขภาพ?
นพ.เจษฎ์ ย้ำว่าไม่ได้ห้ามให้ดื่มกาแฟส้ม เพียงแต่ต้องปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการดื่มให้เหมาะสม เพื่อลดความเสี่ยงต่อไขมันพอกตับ ด้วยเคล็ดลับง่ายๆ ดังนี้:
- ลดความหวานให้มากที่สุด: หากชงเอง ให้ใช้น้ำส้มคั้นสดแบบไม่เติมน้ำตาล และเลี่ยงการเติมน้ำเชื่อม หากซื้อ ให้สั่งแบบหวานน้อยที่สุดหรือไม่ใส่น้ำเชื่อมเลย
- ดื่มให้น้อยลง: ไม่ควรดื่มทุกวัน อาจจำกัดการดื่มไว้เพียงสัปดาห์ละ 2-3 ครั้ง เพื่อให้ตับได้พักและจัดการกับไขมันส่วนเกิน
- สมดุลอาหารในแต่ละวัน: หากดื่มกาแฟส้มในวันนั้น ให้ระวังการบริโภคอาหารหรือขนมหวานอื่นๆ เพิ่มเติม และเน้นการรับประทานผัก ผลไม้ โปรตีน เพื่อให้ร่างกายได้รับพลังงานอย่างสมดุล
- หมั่นออกกำลังกาย: การออกกำลังกายช่วยเผาผลาญพลังงานส่วนเกินและลดการสะสมไขมัน รวมถึงช่วยให้ตับทำงานได้ดีขึ้น
- ตรวจสุขภาพสม่ำเสมอ: โดยเฉพาะผู้ที่มีปัจจัยเสี่ยง เช่น น้ำหนักเกิน มีไขมันในเลือดสูง หรือเป็นเบาหวาน ควรตรวจค่าเอนไซม์ตับ (AST, ALT) และระดับน้ำตาลในเลือดเป็นประจำทุกปีเพื่อเฝ้าระวังภาวะไขมันพอกตับ
หมอเจดทิ้งท้ายว่า กาแฟส้มเป็นเครื่องดื่มที่อร่อย แต่ความหวานและน้ำตาลที่แฝงอยู่เป็นความเสี่ยง หากดื่มบ่อยๆ โดยไม่ระมัดระวัง จึงควรปรับพฤติกรรมการดื่มให้เหมาะสม ควบคู่กับการดูแลสุขภาพโดยรวมให้แข็งแรงและสมดุล