สบน. เผยพร้อมขยายเพดานหนี้สาธารณะถึง 75-80% หากรัฐบาลจำเป็นต้องใช้เงินเร่งด่วนดูแลเศรษฐกิจ
กรุงเทพฯ – นายพชร อนันตศิลป์ ผู้อำนวยการสำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ (สบน.) เปิดเผยถึงสถานการณ์หนี้สาธารณะของประเทศไทยในปัจจุบัน และความพร้อมของ สบน. ในการสนับสนุนนโยบายของรัฐบาล โดยเฉพาะอย่างยิ่ง หากมีความจำเป็นต้องใช้เม็ดเงินเพื่อดูแลและกระตุ้นเศรษฐกิจอย่างเร่งด่วน ซึ่งอาจส่งผลให้ระดับหนี้สาธารณะสูงขึ้นกว่าปัจจุบัน
นายพชร ระบุว่า ขณะนี้ หนี้สาธารณะของประเทศไทยอยู่ที่ 12.1 ล้านล้านบาท ซึ่งคิดเป็นสัดส่วน 64.21% ของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (จีดีพี) ถือว่ายังอยู่ในกรอบที่กฎหมายกำหนดไว้ที่สูงสุดไม่เกิน 70% โดย สบน. คาดการณ์ว่าเมื่อถึงสิ้นปีงบประมาณนี้ สัดส่วนหนี้สาธารณะต่อจีดีพีจะเพิ่มขึ้นไปอยู่ที่ประมาณ 65.5% และในปีงบประมาณ 2568 จะอยู่ที่ประมาณ 67.3%
อย่างไรก็ตาม ผู้อำนวยการ สบน. ชี้แจงว่า หากรัฐบาลพิจารณาแล้วเห็นว่ามีความจำเป็นอย่างยิ่งยวดที่จะต้องกู้เงินเพิ่มเติม เพื่อนำไปใช้ดูแล แก้ไขปัญหา หรือฟื้นฟูเศรษฐกิจของประเทศเป็นการเร่งด่วน ก็สามารถดำเนินการขยายเพดานหนี้สาธารณะจากปัจจุบันที่กำหนดไว้ไม่เกิน 70% ให้เพิ่มสูงขึ้นไปอยู่ในระดับ 75% หรืออาจถึง 80% ของจีดีพีได้ ทั้งนี้ การตัดสินใจดังกล่าวจะต้องเป็นไปตามหลักการที่บัญญัติไว้ในกฎหมาย นั่นคือต้องเป็นเรื่องที่มีความสำคัญ ฉุกเฉิน จำเป็น และเร่งด่วนจริงๆ มีความชัดเจนในวัตถุประสงค์ เป้าหมาย และโครงการที่จะนำเงินไปใช้ คล้ายคลึงกับกรณีการออกพระราชกำหนด (พ.ร.ก.) กู้เงินเพื่อแก้ไขปัญหาสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ในช่วงที่ผ่านมา
นายพชร อนันตศิลป์ กล่าวย้ำด้วยความมั่นใจว่า การที่ประเทศไทยจะขยายเพดานหนี้สาธารณะในกรณีที่มีเหตุผลความจำเป็นที่ชัดเจนและโปร่งใสเช่นนี้ เชื่อว่าจะไม่ก่อให้เกิดปัญหาหรือส่งผลกระทบเชิงลบต่อความน่าเชื่อถือของประเทศในสายตาของนักลงทุนและสถาบันจัดอันดับความน่าเชื่อถือระหว่างประเทศ เนื่องจากปัจจุบันประเทศไทยยังมีฐานะการคลังที่ถือว่าแข็งแกร่ง และมีระดับทุนสำรองระหว่างประเทศที่อยู่ในเกณฑ์สูง ประกอบกับบรรยากาศการลงทุนในตลาดเอเชียโดยรวมยังคงมีความน่าสนใจสำหรับนักลงทุนต่างชาติ ซึ่งมีความต้องการที่จะเข้ามาลงทุนหรือระดมทุนในภูมิภาคนี้อยู่มาก
สำหรับแผนการบริหารจัดการหนี้และการกู้เงินในปีงบประมาณ 2568 นั้น รัฐบาลมีการตั้งวงเงินกู้เพื่อชดเชยการขาดดุลประมาณ 8.6 แสนล้านบาท ซึ่งปัจจุบันยังมีช่องว่างสำหรับการกู้ชดเชยขาดดุลเหลืออยู่อีกประมาณ 4,000 ล้านบาท และหากสถานการณ์ทางเศรษฐกิจมีความผันผวนหรือจำเป็นต้องใช้เงินเพิ่ม รัฐบาลก็ยังสามารถพิจารณานำวงเงินกู้เหลื่อมปีที่เหลือจากปีงบประมาณก่อนหน้า ซึ่งยังมีอยู่หลายหมื่นล้านบาท มาปรับใช้ได้
ในส่วนของผลกระทบหากการเติบโตทางเศรษฐกิจไม่เป็นไปตามเป้าหมาย เช่น หากอัตราการขยายตัวของจีดีพีในปีนี้ลดลงจากที่คาดการณ์ไว้ที่ 3% เหลือเพียงประมาณ 2% นายพชร กล่าวว่า ผลกระทบต่อสัดส่วนหนี้สาธารณะต่อจีดีพีก็จะมีอยู่บ้าง แต่ไม่มากนัก โดยสัดส่วนหนี้สาธารณะอาจปรับเพิ่มขึ้นไปอยู่ที่ประมาณ 68.5% ซึ่งก็ยังคงต่ำกว่าเพดานสูงสุดที่กำหนดไว้ในปัจจุบันที่ 70%
การยืนยันจาก สบน. ในครั้งนี้ แสดงให้เห็นถึงความพร้อมของหน่วยงานในการปรับตัวและบริหารจัดการหนี้สาธารณะเพื่อรองรับสถานการณ์และความท้าทายทางเศรษฐกิจที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต ในขณะเดียวกันก็ยังคงให้ความสำคัญกับการรักษาเสถียรภาพทางการคลังของประเทศ