ปูเป้ เกศรินทร์ เปิดใจ “แม่ปลาบู่” ท้าทาย 2 คาแรกเตอร์สุดขั้ว เผยวิธีรับมือดราม่าบูลลี่ไม่สวย พร้อมอัปเดตผลงานแน่นเอี้ยด!
หวนคืนจอละครจักรๆ วงศ์ๆ อีกครั้งในรอบหลายปี สำหรับนางเอกสาวหน้าหวาน ‘ปูเป้’ เกศรินทร์ น้อยผึ้ง ที่ล่าสุดกำลังมีผลงานเข้มข้นกับละครพื้นบ้านเรื่อง “แม่ปลาบู่” ของค่ายสามเศียร ออกอากาศทางช่อง 7HD ซึ่งในเรื่องนี้เธอได้รับบทบาทที่ท้าทายอย่างมาก ด้วยการแสดงเป็นสองตัวละครฝาแฝดที่มีนิสัยแตกต่างกันสุดขั้ว ทั้ง ‘เอื้อย’ ผู้แสนดี และ ‘อ้าย’ ผู้ร้ายกาจ
นอกจากบทบาทที่น่าจับตา เธอยังได้กลับมาร่วมงานกับพระเอกคู่ขวัญ ‘ม่อน’ สุรศักดิ์ สุวรรณวงษ์ ที่เคยสร้างเคมีคู่จิ้นมาแล้วในผลงานก่อนหน้านี้ จังหวะดีได้มีโอกาสพูดคุยกับ ปูเป้ ถึงเบื้องหลังการทำงานในละคร “แม่ปลาบู่” รวมถึงอัปเดตผลงานอื่นๆ ที่จ่อคิวออกอากาศ และประเด็นที่หลายคนสงสัย คือการรับมือกับดราม่าและคอมเมนต์บูลลี่ที่เคยเจอมา
ความท้าทายสองบทบาทใน “แม่ปลาบู่”
ปูเป้ เล่าถึงความรู้สึกที่ได้กลับมาเล่นละครพื้นบ้านอีกครั้งว่าดีใจและคิดถึงมากๆ สำหรับบทบาทใน “แม่ปลาบู่” เธอรับบทเป็น เอื้อยและอ้าย ซึ่งมีความแตกต่างกันอย่างชัดเจน ทั้งนิสัยและท่าทาง เธอต้องทำการบ้านอย่างหนักเพื่อแยกคาแรกเตอร์ทั้งสองให้ชัดเจน ไม่ว่าจะเป็นท่าทาง สัญชาตญาณ หรือแม้กระทั่งเสียงพูด
เมื่อถูกถามว่าระหว่างเอื้อยและอ้าย ตัวละครไหนเล่นยากกว่ากัน ปูเป้ ตอบอย่างไม่ลังเลว่าคือ ‘อ้าย’ แม้หลายคนจะคิดว่าบทเอื้อยที่ร้องไห้เยอะน่าจะยากกว่า แต่ด้วยประสบการณ์การเล่นละครดราม่ามามาก ทำให้พอจับจุดได้ แต่สำหรับบทอ้ายที่มีความวี้ดว้าย กรี๊ดเสียงดัง และอารมณ์ร้าย เป็นสิ่งที่เธอไม่เคยเล่นมาก่อนในช่วงแรกต้องมีการปรับจูนเรื่องเสียงพูดอย่างมาก เพราะการพูดเสียงเปิดและใช้พลังเยอะทำให้เหงื่อท่วมตัวทุกฉาก นอกจากนี้ เธอยังเผยความรู้สึกว่า การแสดงเป็นอ้ายที่มีนิสัยไม่ดีทำให้รู้สึกแย่ตามไปด้วย จนบางครั้งต้องนั่งสมาธิหลังเลิกกอง เธอยังฝากแฟนๆ ด้วยเสียงอ้อนๆ ว่า “ยังไงอย่าเกลียดอ้ายเลยนะคะ อ้ายทำไปเพราะแม่เลี้ยงมาอย่างนั้น”
การรับบทร้ายครั้งแรกในพาร์ตของอ้าย เป็นประสบการณ์ที่สนุกแต่ก็ใช้พลังงานสูง ทั้งพลังปอดและพลังคอ เธอเข้าใจแล้วว่าทำไมนักแสดงที่เล่นบทร้ายถึงเจ็บคอกันบ่อยๆ ส่วนบทเอื้อยก็เหนื่อยกับการร้องไห้เยอะเช่นกัน แต่ความเหนื่อยของเธอไม่ได้อยู่ที่อารมณ์ของตัวละคร แต่อยู่ที่ความซีเรียสในการแยกคาแรกเตอร์ทั้งสองให้ชัดเจนต่างหาก
ส่วนประเด็นที่ว่า กลัวเดินไปไหนมาไหนไม่ได้ช่วงหน้าทุเรียนหรือไม่ เพราะกลัวคนอินกับบทอ้าย ปูเป้ ยิ้มพร้อมตอบแบบติดตลกว่า “ไม่กลัวค่ะ ไม่ได้ท้าทายนะคะ คือหนูชอบกินทุเรียน แต่เอาแค่เนื้อพอ เปลือกไม่ต้องค่ะ”
ฟีดแบ็กจากแฟนๆ และการรับมือดราม่าบูลลี่
ปูเป้ เผยว่าได้รับคอมเมนต์จากแฟนๆ อย่างหลากหลาย มีทั้งคนที่อินจนอยาก “เจอนังอ้ายจังเลย” และคนที่หัวร้อนใส่เอื้อยว่าทำไมไม่สู้ บางคนก็ชอบความสะใจในตัวอ้าย บางคนก็ต่อว่า ส่วนฝั่งเอื้อยก็มีทั้งคนให้กำลังใจและต่อว่าที่ไม่สู้ เธอบอกว่าการอ่านคอมเมนต์ทำให้รู้สึกสนุกและดีใจมากที่ทุกคนอินกับตัวละครที่เธอถ่ายทอด ซึ่งฟีดแบ็กที่ดีทำให้เธอโล่งใจ แม้บทจะถูกปรับให้ทันสมัยขึ้น เธอก็พยายามถ่ายทอดออกมาให้เต็มที่ที่สุด
ประเด็นเรื่องการ ถูกบูลลี่ว่าไม่สวย หรือไม่เหมาะเป็นนางเอก ซึ่งเคยมีมาก่อนหน้านี้ ปูเป้ เผยว่าตอนนี้เธอไม่สนใจแล้ว แม้จะมีเข้ามาบ้างในรูปแบบข้อความส่วนตัวว่า “เขาไม่ชอบหน้า” หรืออย่างในละครแม่ปลาบู่ พอรู้ว่าเธอเล่น เธอก็ได้รับข้อความว่า “ฉันขอเกลียดคุณนะ” เธอบอกว่าอ่านแต่ไม่ได้ตอบโต้ เพราะเข้าใจว่าบางคนที่ไม่ชอบก็คือไม่ชอบจริงๆ แม้จะไม่รู้ว่าไปทำอะไรให้ แต่เธอมองว่าเป็นเรื่องปกติของมนุษย์ เธอบอกว่าปีนี้เธอโตขึ้นและทำใจได้แล้วว่าการมีคนรักก็ต้องมีคนเกลียด มีชอบมีชัง ซึ่งเธอเลือกที่จะใช้ชีวิตและทำผลงานทุกชิ้นเพื่อคนที่ชอบและคนที่เปิดใจอยากจะชื่นชอบเธอ
“ตอนนี้จิตใจแข็งแกร่งแล้ว” ปูเป้ กล่าวยืนยัน พร้อมฝากถึงคนที่ส่งข้อความมาว่า “ถ้าไม่ชอบหนูก็ไม่เป็นไรนะคะ หนูโอเค แต่ถ้าเปิดใจรับหนูเมื่อไหร่ก็ฝากติดตามผลงานหนูด้วย เพราะหนูตั้งใจแสดงออกมาอย่างเต็มที่ รักหนูเถอะ ถึงไม่ชอบหนูก็อย่าดีเอ็มมาด่าหนูเลย บางทีมันเห็นก็อาจจะรู้สึกนิดนึง เพียงแต่เราไม่จมปลัก เพราะว่ายังมีคนที่ชื่นชอบเราและให้กำลังใจเราอีกเยอะ ฉะนั้นเราจะไปห่อเหี่ยวกับหนึ่งคำพูด ทั้งที่มีกำลังใจอีกเป็นร้อยไม่ได้ เดี๋ยวคนที่เขาให้กำลังใจเราจะเสียกำลังใจค่ะ”
ผลงานอื่นๆ ที่น่าติดตาม และโอกาสใหม่ๆ ในชีวิต
นอกจาก “แม่ปลาบู่” ปูเป้ ยังมีผลงานที่ปิดกล้องไปแล้วถึง 2 เรื่อง คือ “กุหลาบเล่นไฟ” ที่เป็นการรีเมกละครดัง ซึ่งเธอรับบทเป็น ‘อ้อม’ ที่แตกต่างจากเดิม มีความสู้คนมากขึ้น และต้องปะทะคารมกับเพื่อนสนิทอย่าง ‘พิ้งค์พลอย’ ปภาวดี และ ‘จีน’ เฌอตินท์นารา
อีกเรื่องคือ “ดุจจันทร์ดั้นเมฆ” ซึ่งเป็นเรื่องแรกที่เธอได้ร่วมงานกับ ‘พี่หลุยส์ เฮส’ และได้พูดภาษาอีสานเป็นครั้งแรก แม้เธอจะเป็นคนสุรินทร์แต่ที่บ้านพูดภาษาโคราช ซึ่งต่างจากอีสาน แต่โชคดีที่ได้นักแสดงอย่าง ‘พี่สมจิตร’ จงจอหอ และทีมงานที่เป็นคนอีสานคอยช่วย ทำให้การพูดภาษาถิ่นเป็นไปได้ด้วยดี เธอบอกว่าสนุกที่ได้พูดภาษาบ้านเกิด
สำหรับกระแสที่แฟนๆ เชียร์ให้เล่นซีรีส์แนว Yuri/Sapphic กับเพื่อนซี้ ‘พิ้งค์พลอย’ ปูเป้ หัวเราะพร้อมบอกว่า พิ้งค์พลอยก็เคยพูดว่าอยากเล่นคู่เธอเช่นกัน ทุกคนเชียร์เพราะเห็นถึงความสนิทสนมของทั้งคู่ ปูเป้ ยอมรับว่าถ้าได้เล่นคงต้องทำสมาธิเพราะจะเขิน แต่ส่วนตัวอยากเล่นเพราะรู้สึกท้าทาย เธอมองว่าตั้งแต่ปีที่แล้วถึงปีนี้ เธอได้รับบทที่แตกต่างและท้าทายมาตลอด และพร้อมเปิดรับโอกาสใหม่ๆ ในชีวิตการแสดง เพื่อพัฒนาฝีมือและตามหาความสนุกของชีวิตในช่วงนี้
สุดท้าย ปูเป้ ฝากแฟนๆ ติดตามผลงาน “แม่ปลาบู่” ทุกวันเสาร์-อาทิตย์ เวลา 8 โมงเช้า ทางช่อง 7HD และเป็นกำลังใจให้เธอในทุกๆ ผลงานที่ตั้งใจทำออกมาอย่างเต็มที่