สถานการณ์ฝนฟ้าคะนองรุนแรงในรัฐพิหาร ทางตะวันออกของประเทศอินเดีย และประเทศเนปาล ตั้งแต่ช่วงวันที่ 10-11 เมษายนที่ผ่านมา ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตเพิ่มเป็นอย่างน้อย 69 ราย โดยในจำนวนนี้เป็นเหยื่อในอินเดีย 61 ราย และอีก 8 รายในเนปาล ตามรายงานของเจ้าหน้าที่ท้องถิ่น

เจ้าหน้าที่เปิดเผยว่าพายุครั้งนี้ก่อให้เกิดฝนตกหนัก ลมกระโชกแรง และฟ้าผ่าอย่างต่อเนื่อง แม้ว่าเหตุการณ์น้ำท่วมฉับพลันและฟ้าผ่าจะทำให้มีผู้เสียชีวิตหลายพันคนในแต่ละปี แต่ในครั้งนี้นักวิทยาศาสตร์หลายฝ่ายออกมาเตือนว่าอุณหภูมิโลกที่เพิ่มสูงขึ้นกำลังก่อให้เกิดเหตุการณ์สภาพอากาศสุดขั้วที่รุนแรงและบ่อยครั้งขึ้น

ข้อมูลจากคณะนักวิจัยมหาวิทยาลัยฟากีร์ โมฮัน ในรัฐโอฑิศาหรือโอริสสา ระบุว่าฟ้าผ่าได้คร่าชีวิตผู้คนในอินเดียไปแล้ว 101,309 ราย ระหว่างปี 2510-2563 โดยมีอัตราการเสียชีวิตที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วในช่วงปี 2553-2563 ซึ่งสอดคล้องกับแนวโน้มการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่รุนแรงขึ้น

ทั้งนี้ เมื่อปี 2567 ที่ผ่านมา ผู้เชี่ยวชาญเคยเตือนว่าการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศทำให้จำนวนฟ้าผ่าในอินเดียเพิ่มสูงขึ้นจนน่าตกใจ โดยมีผู้เสียชีวิตจากฟ้าผ่าเกือบ 1,900 รายต่อปี ในประเทศที่มีประชากรมากที่สุดในโลก