แผ่นดินไหวเมียนมาสะเทือนไทย เปิดจุดอ่อนระบบเตือนภัยล่าช้า-สับสนข้อมูล

การเกิดแผ่นดินไหวในประเทศเมียนมามีแนวโน้มรุนแรงและถี่ขึ้นในช่วงหลายปีที่ผ่านมา แรงสั่นสะเทือนแผ่ลงถึงประเทศไทยหลายครั้ง สร้างความเสียหายให้อาคารและโครงสร้างที่ไม่แข็งแรง ส่งผลให้ประชาชนในอาคารสูงเกิดความกังวลอย่างต่อเนื่อง

ปัญหาสำคัญอยู่ที่ “การขาดความพร้อมในการรับมือ” โดยเฉพาะระบบแจ้งเตือนภัยพิบัติที่ไม่มีประสิทธิภาพ กรณีแผ่นดินไหวใกล้เมืองมัณฑะเลย์ ขนาด 8.2 ริกเตอร์ (ตามรายงานกรมอุตุนิยมวิทยา) หรือ 7.7 โมเมนต์แมกนิจูด (ตาม USGS) ชี้ให้เห็น “ระบบแจ้งเตือนภัยล้มเหลว”

รศ.ดร.เสรี ศุภราทิตย์ ผอ.ศูนย์การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและภัยพิบัติ ม.รังสิต ระบุว่า การวัดแผ่นดินไหวมี 2 แบบหลัก คือ “มาตราริกเตอร์” ที่ใช้มาตั้งแต่ปี 1935 เหมาะกับแผ่นดินไหวขนาดเล็กถึงกลาง แต่มีจุดอ่อนเมื่อวัดแผ่นดินไหวขนาดใหญ่ และ “โมเมนต์แมกนิจูด” ที่แม่นยำกว่าและเป็นมาตรฐานสากล

เหตุการณ์แผ่นดินไหวที่มัณฑะเลย์ใช้เวลาเพียง 7 นาทีในการส่งแรงสั่นสะเทือนถึงกรุงเทพฯ แต่ระบบเตือนภัยของไทยทำงานล่าช้า เริ่มแจ้งหน่วยงานภาครัฐผ่านเว็บไซต์ในเวลา 13.36 น. ขณะที่อาคารถล่มและมีผู้เสียชีวิตแล้ว ส่วนการแจ้งเตือนประชาชนทั่วไปผ่าน SMS เริ่มในเวลา 14.30 น. ซึ่งล่าช้าเกือบ 1 ชั่วโมง

ข้อจำกัดของระบบ SMS ที่ส่งได้เพียง 200,000-300,000 หมายเลขต่อชั่วโมง สวนทางกับประชากรกรุงเทพฯ 12 ล้านคน ทำให้การแจ้งเตือนไม่ทันการณ์ สร้างความตื่นตระหนกและปัญหาการจราจร

รัฐบาลมีแผนปรับปรุงระบบเตือนภัยด้วย “เซลล์บอร์ดแคสต์” ที่สามารถแจ้งเตือนไปยังมือถือทุกเครื่องในพื้นที่เสี่ยงได้พร้อมกันโดยไม่ต้องรู้หมายเลขเป้าหมาย คาดว่าจะเริ่มใช้ได้ในเดือนกรกฎาคม 2568

ผู้เชี่ยวชาญเสนอให้ลดขั้นตอนการขออนุญาตแจ้งเตือนฉุกเฉิน และใช้ช่องทางอื่นๆ เช่น โทรทัศน์ วิทยุ และโซเชียลมีเดีย ร่วมด้วย เพื่อแก้ไขปัญหาช่องว่างในการเตือนภัยก่อนระบบใหม่จะพร้อมใช้งาน

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *