ทีมชาติไทย U17 สร้างความผิดหวัง แพ้จีน 0-2 ในศึกชิงแชมป์เอเชีย

อุตส่าห์อดตาหลับ ขับตานอน ยอมทนอยู่ดึก เพื่อเป็นกำลังใจให้ทีมช้างศึก 17 ปีอย่างตั้งอกตั้งใจ สุดท้ายความหวังสูงสุดของแฟนลูกหนังทั้งชาติ ก็เป็นแค่ “บัวแล้งน้ำ” อีกตามเคย

ไม่ได้ไปบอลโลก เพราะแพ้รวดตั้งแต่ 2 เกมแรก ก็ว่าชีช้ำแล้ว! แมตช์สั่งลา กะว่าจะล้างอายเอาชนะทีมชาติจีน ที่ดูแล้วฝีเท้าน่าจะสูสีกับเรามากที่สุด ซะหน่อย ที่ไหนได้ กลับต้องมาเก็กซิมหนักเข้าไปอีก เพราะทั้งรูปเกม แท็กติก ยุทธวิธีการเล่น ไม่ได้มีอะไรกระเตื้องขึ้นเลย สุดท้ายเราก็ตกเป็นฝ่ายปราชัยเด็กเมืองมังกรไปอีก 0-2 รับประทาน “กิมบ๊วย” ของกลุ่ม ไม่มีแม้แต่คะแนนเดียวติดกระเป๋ากลับบ้าน

กลายเป็นว่า ทีมชาติไทยชุด U17 ที่เป็นความหวังสูงสุด ที่จะตีตั๋วไปฟุตบอลโลก รอบสุดท้าย กลับมาสร้างความผิดหวัง ให้แฟนบอลชาวไทยมากที่สุด จึงไม่แปลกใจเลยที่กระแสชื่นชมก่อนหน้านี้ จะเหวี่ยงกลับมาเป็นเสียงต่อว่าด่อ ด่าทออย่างหนักหน่วง เมื่อทุกอย่างไม่เป็นดังใจ

เกิดเป็นคำถามตัวโตขึ้นมาว่า เกิดอะไรขึ้นกับฟุตบอลไทยกันแน่? นี่ขนาดเราเตรียมทีมสมบูรณ์ฟูลออพชั่น ลงทุนเก็บตัวฝึกซ้อมกันมานานแรมเดือน ทั้งในและต่างประเทศ แต่สุดท้ายผลลัพธ์ที่ออกมา ก็อย่างที่เห็นกัน คือไม่มีอะไรดีขึ้น หนำซ้ำฟอร์มการเล่นโดยรวมยังดูต่ำกว่ามาตรฐานอีกต่างหาก

ซึ่งผมได้มีโอกาสไลฟ์สดคุยกับพี่ มนตรี อังศิริจินดา อดีตผู้สื่อข่าวฟุตบอลสยามที่เป็นกูรูฟุตบอลเด็กของเมืองไทย แกให้ทรรศนะอย่างตรงไปตรงมาว่า… ที่เราล้มเหลวในศึกชิงแชมป์เอเชียคราวนี้ อย่าไปโทษเด็กว่าไม่มีศักยภาพ แต่ให้มองไปที่คนทำทีม ว่ามีความสามารถแค่ไหน?

ฟุตบอลยุคนี้คือการลงทุน ถ้าเราต้องการผลงานที่ดีเลิศ หวังผลไปถึงฟุตบอลโลก ถามว่าเราลงทุนแค่ไหน และถูกจุดหรือไม่ กับเป้าหมายที่มองอยู่ ต้องการอาหารรสเลิศ วัตถุดิบจะดีอย่างไร ก็ขึ้นกับฝีมือ “เชฟ” จะปรุงแต่งออกมาให้ถูกอก ถูกใจ

ฟุตบอลก็เหมือนกัน ถ้าเราต้องการความสำเร็จสูงสุด ก็ต้องลงทุนจ้างโค้ชโพรไฟล์ดี มีผลงานเข้ามาทำทีมให้ ที่พูดอย่างนี้ ไม่ได้ว่า “เซอร์เด็จ” จเด็จ มีลาภ เป็นโค้ชไม่ดี แต่อาชีพโค้ชย่อมมีเรื่องเพดานความสามารถของมันอยู่

โค้ชจเด็จ อาจมีศักยภาพดีพอในระดับอาเซียนอันนี้ไม่เถียง แต่ถ้าคุณต้องการจะพัฒนาไปสู่ระดับเอเชียกันจริงๆ ผลงานที่ออกมาในรายการนี้ ก็เห็นๆกันอยู่ ว่าเป็นอย่างไร

สิ่งที่สมาคมกีฬาฟุตบอลฯ และ “นายกแป้ง”นวลพรรณ ล่ำซำ จะต้องลงมือทำหลังจากนี้ คือถอดบทเรียนความล้มเหลวของทีม 17 ปีออกมาดูให้ละเอียด สมาคมฯจะได้ไม่ต้องลงทุนอย่างเสียเปล่า เรียกทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง ทั้งผู้จัดการทีม สตาฟฟ์โค้ช มาประชุมหาแนวทางกับฝ่ายเทคนิค เพื่อประเมินผลงานทั้งหมด

อะไรที่เป็นความผิดพลาด ต้องยอมรับความจริง แล้วเดินหน้าแก้ไขมันอย่างจริงจัง ที่สำคัญคนเป็นโค้ช และ ผู้บริหารทีม ต้องมีสปิริต ประเมินตัวเองด้วยว่า เรามีความสามารถพอที่จะทำงานสำคัญตรงนี้ต่อไปหรือไม่?

เขียนมาถึงตรงนี้โดยไม่ได้มีอคติใดๆ เชื่อว่า “เซอร์เด็จ” และ “เฮียรุจ” อนุรุทธิ์ นาคาศัย ซึ่งผมให้ความเคารพทั้งคู่ น่าจะเข้าใจดี ‘ค่าของคน อยู่ที่ผลของงาน’ ยังเป็นเรื่องจริงแท้…ของโลกฟุตบอลอยู่เสมอครับ !!!

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *