ศึกกฎหมายเนสท์เล่ VS ครอบครัวมหกิจสิริ กระทบตลาดกาแฟ 17,000 ล้าน

กรุงเทพฯ — ความขัดแย้งทางกฎหมายระหว่างเนสท์เล่ยักษ์ใหญ่ด้านอาหารระดับโลกกับบริษัท ควอลิตี้ คอฟฟี่ โปรดักส์ จำกัด (QCP) ของตระกูลมหกิจสิริ กำลังสั่นคลอนตลาดกาแฟเนสคาเฟ่มูลค่า 17,000 ล้านบาทในประเทศไทย

ศาลแพ่งมีนบุรีมีคำสั่งคุ้มครองชั่วคราวห้ามเนสท์เล่ซึ่งเป็นเจ้าของสิทธิแต่เพียงผู้เดียวในแบรนด์เนสคาเฟ่ ผลิต กระจายสินค้า หรือนำเข้าเครื่องดื่มกาแฟสำเร็จรูปภายใต้แบรนด์เนสคาเฟ่ในประเทศไทย ตั้งแต่ 3 เมษายน 2568 เป็นต้นไป

บทบาทของตระกูลมหกิจสิริในข้อพิพาท

คำสั่งศาลดังกล่าวมีขึ้นหลังจากนายเฉลิมชัย มหกิจสิริ ผู้ถือหุ้นใหญ่ QCP ยื่นฟ้อง หลังเนสท์เล่ตัดสินใจยกเลิกสัญญาสิทธิการผลิตเนสคาเฟ่กับ QCP ในปี 2564 ซึ่งต่อมาศาลอนุญาโตตุลาการระหว่างประเทศมีคำพิพากษายืนตามการยกเลิกดังกล่าว และจะมีผลบังคับใช้ตามกฎหมายในวันที่ 31 ธันวาคม 2567

ระหว่างปี 2533-2567 ผลิตภัณฑ์เนสคาเฟ่ในประเทศไทยถูกผลิตโดย QCP ซึ่งเป็นกิจการร่วมค้าระหว่างเนสท์เล่กับตระกูลมหกิจสิริในสัดส่วน 50:50 โดยนายประยูร มหกิจสิริเป็นผู้ถือหุ้น

ภายใต้กิจการร่วมค้านี้ เนสท์เล่ยังคงควบคุมการจัดการ การผลิต การกระจายสินค้า และการตลาดของผลิตภัณฑ์เนสคาเฟ่ทั้งหมด ขณะที่เทคโนโลยีการผลิตเนสคาเฟ่ยังคงเป็นทรัพย์สินทางปัญญาของเนสท์เล่

ปฏิกิริยาจากเนสท์เล่

ในแถลงการณ์วันที่ 9 เมษายน เนสท์เล่ระบุว่าจะดำเนินการทุกขั้นตอนเพื่อแก้ไขปัญหา รวมถึงยื่นคำร้องขอให้ศาลเพิกถอนคำสั่งคุ้มครองชั่วคราว และยื่นเอกสารทั้งหมดให้ศาลแพ่งมีนบุรีพิจารณา

เนสท์เล่เน้นย้ำถึงความมุ่งมั่นในการดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืนในประเทศไทย ซึ่งขายผลิตภัณฑ์มานานกว่า 130 ปี และมีการลงทุนสะสมกว่า 22,800 ล้านบาทระหว่างปี 2561-2567

“เนสท์เล่ยังคงลงทุนในประเทศไทยเพื่อประโยชน์ของผู้บริโภค พนักงาน เกษตรกรคู่ค้า และพันธมิตรทางธุรกิจ” แถลงการณ์ระบุ

บริษัทยืนยันถึงอำนาจในการจัดการ การผลิต การกระจายสินค้า และการตลาดของผลิตภัณฑ์เนสคาเฟ่ พร้อมย้ำว่าเทคโนโลยีการผลิตยังเป็นทรัพย์สินทางปัญญาของบริษัท

รัฐบาลจับตาตลาดกาแฟ

นายวิทยากร มานีเนตร อธิบดีกรมการค้าภายใน เปิดเผยเมื่อวันที่ 10 เมษายนว่า เจ้าหน้าที่กำลังติดตามสถานการณ์ตลาดกาแฟอย่างใกล้ชิด แม้ว่ากาแฟจะไม่อยู่ในรายการสินค้าควบคุมราคาของกระทรวงพาณิชย์

เพื่อป้องกันผลกระทบต่อผู้บริโภค กระทรวงได้ส่งเจ้าหน้าที่ตรวจสอบสต็อกและราคากาแฟในซูเปอร์มาร์เก็ต ร้านสะดวกซื้อ และร้านค้าปลีก ซึ่งพบว่ายังมีสินค้าพอเพียงและราคาไม่มีการปรับขึ้น

ทางการได้จัดประชุมเมื่อวันที่ 8 เมษายนกับผู้ค้าปลีก ผู้ค้าส่ง และศูนย์การค้าเพื่อประเมินระดับสต็อก ปริมาณการขาย และราคาขายปลีก โดยผู้ค้าปลีกและผู้ค้าส่งยืนยันว่าการส่งสินค้ายังเป็นไปตามปกติ ไม่มีการลดลงของยอดขาย และมีสต็อกเพียงพอต่อความต้องการ ขณะที่ผู้ค้าปลีกรายงานว่าไม่มีแนวโน้มปรับราคาขึ้น

ผลกระทบต่อธุรกิจท้องถิ่น

นางสุนีวรรณ โพธิ์จันทร์ เจ้าของร้านกาแฟในตัวเมืองขอนแก่น บริเวณถนนกลางเมือง ใกล้กับที่ทำการ TOT เปิดเผยว่าหลังทราบข่าวรู้สึกไม่สบายใจ เนื่องจากร้านใช้กาแฟสำเร็จรูปเนสคาเฟ่ชงขายให้ลูกค้ามากว่า 26 ปี โดยลูกค้าชินกับรสชาติและกลิ่นหอมของกาแฟแบรนด์นี้

“หากเนสคาเฟ่ต้องหยุดผลิตและจำหน่ายถาวร จะส่งผลกระทบอย่างมากต่อร้าน เราคงไม่เปลี่ยนไปใช้กาแฟแบรนด์อื่นเพราะลูกค้าจะไม่คุ้นชิน แต่จะหันไปขายกาแฟโบราณแทน” เธอกล่าว

นางสุนีวรรณแสดงความกังวลว่าในช่วงที่เนสคาเฟ่หยุดผลิต ผู้ค้าส่งที่ยังมีสต็อกสินค้าอาจฉวยโอกาสขึ้นราคา ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อร้านค้าที่ใช้กาแฟแบรนด์นี้เป็นวัตถุดิบหลัก โดยขอให้รัฐบาลช่วยติดตามสถานการณ์

แนวโน้มตลาดและราคา

ศูนย์วิจัยกสิกรไทยเผยแพร่รายงานวิเคราะห์ตลาดเครื่องดื่มยอดนิยม รวมถึงกาแฟ โกโก้ และมัทฉะ โดยคาดการณ์ว่าอาจมีแนวโน้มปรับราคาสูงขึ้นในปี 2568 เนื่องจากต้นทุนวัตถุดิบยังอยู่ในระดับสูง

ราคาวัตถุดิบหลักเช่น โกโก้และกาแฟยังสูง ขณะที่ต้นทุนมัทฉะก็มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น เนื่องจากไทยนำเข้าส่วนใหญ่ของวัตถุดิบเหล่านี้ นอกจากนี้ยังมีแรงกดดันจากต้นทุนนม น้ำตาล/ไซรัป วิปครีม ค่าแรง ค่าพื้นที่ขาย และค่าเสื่อมราคาอุปกรณ์

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *