อุทาหรณ์! เด็ก 14 ป่วยเบาหวานชนิด 1 ตลอดชีวิต แพทย์ชี้ ‘3 สิ่งนี้’ ตัวการร้าย ห้ามทานแทนข้าวเด็ดขาด!
สำนักข่าวต่างประเทศ รายงานกรณีอุทาหรณ์ด้านสุขภาพที่น่าตกใจในประเทศจีน เมื่อเด็กสาววัยเพียง 14 ปี ต้องเผชิญกับโรคเบาหวานชนิดที่ 1 และจำเป็นต้องฉีดอินซูลินไปตลอดชีวิต เหตุการณ์นี้สร้างความตระหนกและกระตุ้นให้เกิดคำถามว่า เหตุใดเด็กในยุคปัจจุบันจึงมีแนวโน้มป่วยด้วยโรคนี้มากขึ้น แพทย์ผู้เชี่ยวชาญได้ออกมาให้คำอธิบาย พร้อมเน้นย้ำคำเตือนสำคัญเกี่ยวกับอาหารการกินที่ผู้ปกครองและเด็กๆ ควรใส่ใจเป็นพิเศษ
รายงานจากสำนักข่าวต่างประเทศ ระบุว่า เสี่ยวหยู (Xiaoyu) เด็กสาวชาวจีนวัย 14 ปี เริ่มมีอาการผิดปกติด้วยการกระหายน้ำอย่างรุนแรง ดื่มน้ำแร่มากถึงวันละ 8 ขวด แต่ในขณะเดียวกัน น้ำหนักของเธอกลับลดลงไปอย่างรวดเร็วถึง 10 กิโลกรัม ทำให้แม่ของเธอตัดสินใจพาไปพบแพทย์เพื่อตรวจสุขภาพ
ผลการตรวจสร้างความตกใจอย่างยิ่ง เมื่อระดับน้ำตาลในเลือดของเสี่ยวหยูพุ่งสูงผิดปกติถึง 18 มิลลิโมลต่อลิตร ซึ่งสูงกว่าค่าปกติมาก คุณหมอได้แจ้งผลการวินิจฉัยอย่างจริงจังว่า “นี่คือโรคเบาหวานประเภท 1 ทั่วไป ต่อไปนี้คุณต้องฉีดอินซูลินทุกวัน” คำวินิจฉัยนี้หมายความว่า เด็กสาววัยเพียง 14 ปี จะต้องพึ่งพาการฉีดอินซูลินไปตลอดชีวิต
ทำไมเด็กสมัยนี้จึงเป็นเบาหวาน?
แพทย์อธิบายว่า โรคเบาหวานชนิดที่ 1 เป็นโรคแพ้ภูมิตนเอง (Autoimmune Disease) ซึ่งเกิดจากระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายเกิดความผิดพลาด ไปโจมตีและทำลายเซลล์เบต้า (Beta cells) ที่อยู่ในตับอ่อน ซึ่งมีหน้าที่ผลิตอินซูลิน อินซูลินมีความสำคัญอย่างยิ่งในการควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด เมื่อร่างกายผลิตอินซูลินไม่ได้หรือไม่เพียงพอ ระดับน้ำตาลในเลือดก็จะสูงขึ้น โรคนี้มักเริ่มต้นอย่างเฉียบพลันและผู้ป่วยจำเป็นต้องได้รับการฉีดอินซูลินเพื่อดำรงชีวิตตลอดไป ในกรณีของเสี่ยวหยู เป็นไปได้ว่าระบบภูมิคุ้มกันของเธอเริ่มทำงานผิดปกติมาเป็นเวลาหลายเดือนก่อนที่อาการจะปรากฏชัดและได้รับการวินิจฉัย
ส่วนโรคเบาหวานชนิดที่ 2 ซึ่งในอดีตเคยถูกเรียกว่า “เบาหวานในผู้ใหญ่” ปัจจุบันกลับพบผู้ป่วยวัยรุ่นเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ที่คลินิกผู้ป่วยนอก โรคเบาหวานชนิดที่ 2 ในวัยรุ่นมีความเชื่อมโยงโดยตรงกับพฤติกรรมการบริโภคอาหารที่มีน้ำตาลและไขมันสูงเป็นเวลานาน รวมถึงการขาดการออกกำลังกาย ซึ่งเป็นภัยเงียบที่คุกคามสุขภาพของวัยรุ่นยุคใหม่ เด็กบางคนมีภาวะแทรกซ้อนเกิดขึ้นแล้วก่อนที่จะได้รับการวินิจฉัยด้วยซ้ำ
นอกจากนี้ เด็กที่มีประวัติครอบครัว หรือมีพ่อแม่เป็นโรคเบาหวาน จะมีความเสี่ยงต่อการเป็นโรคนี้มากขึ้น แต่ผลการศึกษาหลายชิ้นแสดงให้เห็นว่า อิทธิพลของนิสัยการใช้ชีวิตนั้นมีส่วนสำคัญมากถึง 60% ต่อการเกิดโรคเบาหวานชนิดที่ 2 ซึ่งเป็นเหตุผลว่าทำไมในกรณีของฝาแฝด คนหนึ่งอาจป่วยด้วยโรคเบาหวานได้ ในขณะที่อีกคนกลับมีสุขภาพแข็งแรง
แพทย์เตือน อย่าทาน 3 สิ่งนี้แทนอาหารเด็ดขาด!
สิ่งที่สำคัญที่สุดที่แพทย์ย้ำเตือนผู้ปกครองและเด็กๆ คือ การหลีกเลี่ยงการบริโภค 3 สิ่งนี้แทนอาหารหลัก เนื่องจากเป็นแหล่งของน้ำตาลและไขมันสูง ที่ส่งผลเสียโดยตรงต่อระดับน้ำตาลและสุขภาพโดยรวม
- น้ำผลไม้ = น้ำตาลระเบิด: หลายคนเข้าใจผิดว่าน้ำผลไม้แท้ 100% มีประโยชน์และดีต่อสุขภาพ แต่ในความเป็นจริง น้ำผลไม้ 100% ของบางแบรนด์ในแต่ละขวดอาจมีปริมาณน้ำตาลเทียบเท่ากับน้ำตาลก้อนถึง 14 ก้อน ซึ่งมากกว่าปริมาณน้ำตาลในขวดน้ำอัดลมบางยี่ห้อเสียอีก! กระบวนการคั้นน้ำผลไม้ทำให้เส้นใยอาหารส่วนใหญ่สูญเสียไป และเมื่อดื่มน้ำผลไม้ ร่างกายจะดูดซึมน้ำตาลฟรุกโตสอย่างรวดเร็ว ทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดพุ่งสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว คล้ายกับการดื่มน้ำตาลโดยตรง
- เครื่องดื่มที่มีแบคทีเรียกรดแลคติก (เครื่องดื่มนมเปรี้ยว) = กระปุกน้ำตาลที่มองไม่เห็น: แม้จะโฆษณาว่าช่วยในการย่อยอาหาร แต่ส่วนผสมลำดับต้นๆ ที่มักพบในเครื่องดื่มนมเปรี้ยวเหล่านี้คือน้ำตาลขาว การดื่มเครื่องดื่มยี่ห้อหนึ่งขนาดขวดละ 340 มิลลิลิตร อาจเทียบเท่ากับการรับประทานน้ำตาลถึง 50 กรัม ซึ่งเกินกว่าปริมาณน้ำตาลที่องค์การอนามัยโลกแนะนำให้บริโภคต่อวันมาก
- คุกกี้โฮลเกรน = ดักไขมัน: คุกกี้หรือแครกเกอร์ที่โฆษณาว่าเป็นโฮลเกรน มักถูกมองว่าเป็นทางเลือกเพื่อสุขภาพ แต่เพื่อปรับปรุงรสชาติและเนื้อสัมผัส ผู้ผลิตมักมีการเติมน้ำมันพืชในปริมาณมาก ปริมาณไขมันในคุกกี้ยอดนิยมบางยี่ห้ออาจสูงถึง 30% การกินคุกกี้เพียง 2 ชิ้น อาจเทียบเท่ากับการดื่มน้ำมัน 1 ช้อนชา ซึ่งให้พลังงาน (แคลอรี่) สูงกว่าคุกกี้ทั่วไปเสียอีก
กรณีของเสี่ยวหยูและการเพิ่มขึ้นของผู้ป่วยเบาหวานในวัยรุ่น เป็นเครื่องเตือนใจให้ทุกคนตระหนักถึงความสำคัญของการเลือกบริโภคอาหาร และปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้ชีวิต เพื่อลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคเบาหวาน ซึ่งเป็นโรคเรื้อรังที่ส่งผลกระทบต่อคุณภาพชีวิตอย่างรุนแรง